สะตอฟอร์ยู ::: สนับสนุนให้คนใต้ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น!!!

มันเทศช่วยให้ลดน้ำหนักได้ 3 กิโลได้ในชั่วข้ามคืน!!!

by sator4u_team @8 ม.ค. 58 20:56 ( IP : 1...62 ) | Tags : ความงาม
  • photo  , 800x533 pixel , 48,342 bytes.
  • photo  , 500x331 pixel , 36,614 bytes.

มันเทศช่วยให้ลดน้ำหนักได้ 3 กิโลได้ในชั่วข้ามคืน!!!


กินเวลา 9.00 – 11.00 น. จะทำให้อิ่มท้องโดยไม่เพิ่มเอว-สะโพก หลายคนคิดว่า “มันเทศ” เป็นอาหารประเภทแป้งยิ่งกินยิ่งเพิ่มน้ำหนัก ขอให้ลองอ่านบทความนี้ดูก่อน จะพบว่ามันเทศกลับกลายเป็นอาหารลดน้ำหนักที่ได้รับการยอมรับกันทั่วโลก มันเทศมีวิตามินเอสูง ช่วยในเรื่องการมองเห็นได้เป็นอย่างดี มีสารอาหารทรงคุณค่าที่ทำให้ตับอ่อนแข็งแรง มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินซี วิตามินบีส่งผลโดยตรงกับการลดน้ำหนัก วิตามินซี ช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสวยงาม และทำให้ร่างกายแข็งแรง


นอกจากนี้มันเทศยังมีโพแทสเซียม คอปเปอร์ แมงกานีส สารอาหารที่ป้องกันโรคมากมาย รวมถึงโรคมะเร็ง และยังมีเส้นใยอาหาร หรือไฟเบอร์ ในปริมาณสูงมาก ทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว จึงเหมาะมากกับการใช้เป็นอาหารลดน้ำหนัก


ในมันเทศ 100 กรัมจะได้แคลอรี่ประมาณ 90-93 แคลอรี่ (ปริมาณความต้องการพลังงานของมนุษย์วันละ 1,800 – 2,000 กิโลแคลอรี่) อีกทั้งคนส่วนใหญ่จะกินมันเทศได้ไม่มากนัก เพราะมันเทศมีคุณสมบัติไปฟูในท้องทำให้อิ่มเร็ว


มันเทศมีอยู่หลายสี เช่นเหลืองอ่อน เหลืองจัด เหลืองส้ม และสีม่วง ทุกสีจัดเป็นแหล่งรวมวิตามินซี สารอาหาร และเส้นใยอาหาร มีข้อมูลว่า หัวมันเทศชนิดหัวสีเหลือง จัดเป็นแหล่งเบต้าแคโรทีนชั้นเยี่ยม วิตามินเอสูง


อาจารย์ สุธิวัสส์ คำภา นักธรรมชาติบำบัดชื่อดัง กล่าวว่ามันเทศมีประโยชน์ในการลดน้ำหนักได้ โดยให้รับประทานในช่วงเวลา 9.00 – 11.00 น.


ดร. กิลเลียน แมคคีธ นักโภชนาการอาหาร นักเขียน และพิธีกร รายการ You are what you eat จัดให้มันเทศเป็นอาหารลดหุ่นที่ช่วยให้ลดน้ำหนักได้ถึง 3 กิโลกรัม ได้ในชั่วข้ามคืน แหล่งวิตามินบี 6 ช่วยบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน ช่วยให้ร่างกายผลิตพลังงานจากอาหารได้มากขึ้น และเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการลดน้ำหนัก มันเทศเป็นคอมเพล็กซ์คาร์โบไฮเดรตซึ่งปล่อยพลังงานช้า มีกากใยมาก ทำให้อิ่มท้องอยู่ได้โดยไม่เพิ่มเอวหรือสะโพก ทำให้ตับอ่อนแข็งแรง


มันเทศเป็นอาหารพื้นๆ ที่หากินได้ง่ายๆ อาทิ มันเทศต้ม มันเทศเผา มันเทศเชื่อม มันเทศต้มขิง เป็นส่วนผสมสำคัญในขนมไข่นกกระทา หรือนำมาใส่ในแกงเผ็ด เช่นแกงกะหรี่ จะมีรสชาติกว่าใส่มันฝรั่ง เป็นต้น


ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของมันเทศ

สารสำคัญที่พบ ได้แก่ Aesculetin, Alanine, Amyrine, Arginine, Caffeic, Caffeic acid, Campesterol, β-carotene, Chlorogenic acid, Querecetin, Sitosterol, Stigmasterol เป็นต้น

สารสกัดจากหัวมันเทศด้วยแอลกอฮอล์ มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิดทั้งแกรมบวกและแกรมลบ

หัวมันเทศมีฤทธิ์ต้านเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย ยับยั้งการสร้างเมลานิน เร่งการสมานแผล ฆ่าพยาธิ และช่วยลดคอเลสเตอรอล

เมื่อปี ค.ศ.1978 ที่ประเทศอินเดีย ได้ทำการศึกษาทดลองโดยให้สารสกัดจากมันเทศกับหนูทดลอง ภายหลังการทดลองพบว่าหนูทดลองมีไขมันในเลือดลดลง

เมื่อปี ค.ศ.2003 ที่ประเทศจีน ได้ทำการศึกษาทดลองให้สารสกัดจากมันเทศกับหนูทดลองที่ให้อาหารจนไขมันในเลือดสูง ภายหลังการทดลองพบว่า ระดับไขมันในเลือดลดลง คอเลสเตอรอล และระดับไตรกลีเซอไรด์ลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ P<0.05

เมื่อปี ค.ศ.2005 ที่ประเทศจีน ได้ทำการทดลองโดยใช้หนูที่ให้สารไขมันจนมีไขมันในเลือดสูงและเกิดภาวะไขมันในตับสูง ทำการทดลองให้ Polysaccharides ซึ่งสกัดจากมันเทศ โดยใช้เวลาทำการทดลองนาน 8 สัปดาห์ ภายหลังการทดลองพบว่า ระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ลดลง มีระดับไขมันในตับลดลง





ประโยชน์ของมันเทศ


หัวมันเทศมีคุณประโยชน์มาก เพราะใช้เป็นอาหารของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี เราสามารถนำมันเทศมาใช้ปรุงอาหารได้ทั้งคาวและหวาน โดยอาหารหวาน ได้แก่ มันเทศแกงบวด มันเทศต้มน้ำตาล มันเทศเชื่อม มันเทศกวน มันเทศฉาบ มันเทศทอด มันเทศเผา มันเทศรังนก หรือนำมานึ่งกิน เป็นต้น ส่วนอาหารคาวก็ได้แก่ แกงเลียง แกงกะหรี่ แกงมัสมั่น แกงคั่ว เป็นต้น ส่วนชาวลั้วะและชาวไทใหญ่จะใช้หัวนำมานึ่งกินกับน้ำพริก


หัวมันเทศเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตชั้นดีที่ให้พลังงานโดยไม่ก่อพิษต่อร่างกายแบบอาหารที่แปรรูปจากแป้งและน้ำตาลแบบอื่นๆ จึงสามารถนำมาใช้รับประทานแทนข้าวได้ โดยคุณค่าทางโภชนาการของหัวมันเทศ ต่อ 100 กรัม ประกอบไปด้วย พลังงาน 100 แคลอรี่, แป้ง 25 กรัม, โปรตีน 1.7 กรัม, ไขมัน 0.3 กรัม, น้ำ 70 กรัม, เถ้า 1 กรัม, แคโรทีน (เฉพาะในเนื้อหัวสีเหลือง) 2,000-5,000 หน่วย, วิตามินบี1 0.1 มิลลิกรัม, วิตามินบี2 0.05 มิลลิกรัม, วิตามินบี3 0.7 มิลลิกรัม, วิตามินซี 25 มิลลิกรัม เป็นต้น


ส่วนของยอดอ่อนมันเทศก็สามารถนำมาใช้รับประทานเป็นผักได้เช่นกัน โดยนำมาทำแกง เช่น แกงส้ม หรือนำลวกจิ้มกับน้ำพริก ซึ่งคุณค่าทางโภชนาการของยอดอ่อนมันเทศ ต่อ 100 กรัม ประกอบไปด้วย พลังงาน 48 แคลอรี่, แป้ง 9.2 กรัม, โปรตีน 3.6 กรัม, ไขมัน 0.7 กรัม, น้ำ 85 กรัม, เถ้า 1.5 กรัม, แคโรทีน 6,000 หน่วย, วิตามินบี1 0.12 มิลลิกรัม, วิตามินบี2 0.24 มิลลิกรัม, วิตามินบี3 0.09 มิลลิกรัม, วิตามินซี 27 มิลลิกรัม เป็นต้น


ชาวปะหล่องจะใช้ลำต้นใต้ดินนำมานึ่งหรือต้มรับประทานหรือนำไปแกง


นอกจากจะใช้เป็นอาหารของมนุษย์แล้ว เรายังใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงได้อีกด้วย เช่น ใช้เป็นอาหารวัว ควาย หมู กระต่าย เป็ด ไก่ ปลา และอาหารแพะ เป็นต้น โดยส่วนที่นำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ก็ใช้ได้ทั้งหัว เถา และใบ บางแห่งมีการปลูกมันเทศเพื่อใช้เลี้ยงหมูโดยเฉพาะ คือ เมื่อมันเทศทอดยอดและลงหัวดีแล้วก็ปล่อยให้สุกรลงไปกินยอด กินใบ และขุดหัวกินเอง


ในด้านอุตสาหกรรม มันเทศยังถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ใช้ทำแป้ง เส้นก๋วยเตี๋ยว ทำเหล้า ทำแอลกอฮอล์ กาว ทำน้ำส้ม ทำขนม ขนมคบเคี้ยว อาหารบรรจุกระป๋อง ใช้เป็นส่วนผสมในอาหารเด็ก เป็นต้น


หัวมันเทศ (โดยเฉพาะเนื้อสีเหลืองหรือสีส้ม) และใบ จะมีสารเบต้าแคโรทีนสูงมาก ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา


หัวมันเทศเนื้อสีม่วงจะมีสารแอนโทไซยานินสูง ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย


วิตามินซีที่มีอยู่ในมันเทศ ถึงแม้มันจะมีอยู่ไม่มาก แต่มันก็มีส่วนช่วยชะลอวัย บำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสวยงามได้เช่นกัน


ใยอาหารหรือไฟเบอร์ที่มีอยู่ในมันเทศนั้นเรียกได้ว่ามีปริมาณที่ค่อนข้างสูงอยู่พอสมควรเลยทีเดียว เมื่อเรารับประทานเข้าไปแล้วจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มนาน ทำให้ไม่อยากรับประทานอาหารอื่นๆ เพิ่มเติม มันจึงเป็นตัวช่วยที่ดีในการช่วยลดน้ำหนักของคุณทางอ้อมได้ อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่ระบุไว้ชัดเจนว่ามันเทศสามารถช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้ ดังนั้นคุณจึงไม่ต้องกังวลว่ารับประทานมันเทศบ่อยๆ แล้วจะทำให้คุณอ้วนขึ้น โดยมีคำแนะนำว่าให้รับประทานมันเทศในช่วงเช้า (09.00-11.00 น.) เป็นประจำ ก็จะช่วยทำให้รูปร่างของคุณดูดีขึ้นมาได้


ด้วยความที่มันเทศมีเส้นใยอาหารสูง มันจึงช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี


หลายท่านคงประสบกับปัญหาเหน็บชากิน เวลานั่งหรือยืนโดยไม่เปลี่ยนท่า หรือนั่งทับเท้าเป็นเวลานาน ใครที่เป็นบ่อยๆ ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี1 ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือหัวมันเทศนั่นเอง


ส่วนข้อมูลจากสมาคมเภสัชและอายุรเวชโบราณแห่งประเทศไทย ระบุว่าใบมันเทศมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ห้ามเลือดจากบาดแผล แก้ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ลดระดับน้ำตาล ช่วยระบายท้อง ป้องกันท้องผูก ขับพิษ รักษาโรคตาที่มองไม่เห็นในที่มืด ช่วยบำรุงผิวและชะลอวัย ส่วนวิธีการนำมารับประทานก็มีหลายรูปแบบ เช่น ลวกกินกับน้ำพริก ผัดไฟแดง ใส่ลงในโจ๊ก ทำยำ ในประเทศญี่ปุ่นจะนำใบมาดองในกระป๋องจำหน่าย ส่วนหัวมันเทศมีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ รวมถึงโรคมะเร็ง ช่วยปรับสภาพเลือด บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง บำรุงเลือด บำรุงกระเพาะ ม้าม แก้โรคดีซ่าน รักษาเบาหวาน ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันโรคต้อกระจก ตาบอดตอนกลางคืน อีกทั้งหัวมันเทศยังอุดมไปด้วยวิตามินบี6 ซึ่งช่วยในการทำงานของสมอง ป้องกันอาการทางประสาท นอนไม่หลับ และอาการซึมเศร้าได้ดี แต่ข้อมีข้อควรระวังก็คือ สตรีใกล้คลอดไม่ควรรับประทาน (เพราะอาจทำให้พลังงานในตัวมารดาสะดุดหรือมีอาการท้องอืดเฟ้อ) และผู้ที่มีอาการท้องอืดเฟ้อ บิด เป็นมาลาเรียก็ไม่ควรรับประทาน (ไม่ได้ระบุเหตุผลไว้) และจากข้อมูลยังระบุด้วยว่าห้ามใช้มันเทศปรุงร่วมกับไข่ไก่ และยังมีข้อมูลจากส่วนอื่นอีกที่ระบุว่าห้ามทานมันเทศร่วมกับลูกพลับ เพราะจะทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะอาหาร ส่วนบางข้อมูลก็ระบุว่าหัวมันเทศมีสรรพคุณช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ รักษาโรคโลหิตจาง บรรเทาอาการของโรคความมันโลหิต


ประโยชน์ของมันเทศในการลดน้ำหนัก


จากกระแสข่าวในโลกโซเชียลมีเดียที่นิยมทาน "มันเทศ" เพื่อช่วยในการลดน้ำหนักนั้น ผู้เชี่ยวชาญแนะมันเทศไม่มีสรรพคุณลดน้ำหนักได้โดยตรง แต่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และยังช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้ ถือเป็นทางเลือกในการบริโภคเพื่อสุขภาพที่ดี

หลายคนอาจคิดว่า "มันเทศ" ที่เต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรต หากทานเยอะจะยิ่งเพิ่มน้ำหนักและมีผลเสียต่อสุขภาพ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ปรัญรัชต์ ธนวิยุทธ์ภัคดี อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า "มันเทศ" เป็น "แป้ง" ชนิดหนึ่ง ซึ่งถือเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตชั้นดีที่ให้พลังงาน โดยคุณค่าทางโภชนาการของมันเทศ ประกอบไปด้วย คาร์โบไฮเดรต 90% โปรตีน 7-8% และ ไขมัน 0.5%

ซึ่ง มันเทศ นอกจากจะมีคาร์โบไฮเดรตสูงถึง 90% แล้วยังมีเนื้อสีที่โดดเด่น ทั้งสีขาว, สีส้ม, สีเหลืองและสีม่วง ซึ่งล้วนมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น เช่น มันเทศเนื้อสีม่วง จะมีสารแอนโทไซยานินสูง ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ส่วนมันเทศเนื้อสีเหลืองหรือสีส้ม

จะมีสารเบต้าแคโรทีนที่สูงมาก ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา และด้วยความที่มันเทศมีเส้นใยอาหารสูง จึงช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเมื่อทานเข้าไปแล้วจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มนาน ทำให้ไม่อยากรับประทานอาหารอื่น ๆ เพิ่มเติม จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีในการช่วยลดน้ำหนักของผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่ระบุไว้ชัดเจนว่ามันเทศสามารถช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้

จะเห็นได้ว่ามันเทศมีคุณประโยชน์มากมาย ซึ่งผู้บริโภคสามารถนำมันเทศมาใช้ปรุงอาหารได้ทั้งคาวและหวาน โดยอาหารหวาน ได้แก่ มันเทศเชื่อม มันเทศฉาบ มันเทศทอด มันเทศปิ้ง เผา ต้มหรือนึ่ง ส่วนอาหารคาวก็ได้แก่ แกงเลียง แกงกะหรี่ แกงมัสมั่น อีกทั้งยังมีสรรพคุณด้านสมุนไพรในการแก้ร้อนใน บำรุงตับและไตอีกด้วย

นอกจากนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ปรัญรัชต์ ธนวิยุทธ์ภัคดี อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ยังแนะนำอีกว่า สำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน หรือควบคุมน้ำหนัก ควรบริโภคอาหารให้ครบ 3 มื้อ และครบคุณค่าทางโภชนาการ หลีกเลี่ยงการทานไขมันและอาหารกลุ่มที่มีกะทิมากเกินไป ควรเลือกทานอาหารที่ปรุงด้วยการนึ่ง ต้ม อบ หรือการย่างสลับกัน


เครดิต @ บทความเกี่ยวกับภูมิปัญญาไทย โดย อาจารย์ สุทธิวัสส์ คำภา (นักธรรมชาติบำบัด) , บทความ โดย ดร. กิลเลียน แมคคีธ นักโภชนาการอาหาร นักเขียน และพิธีกร รายการ You are what you eat จาก นิตยสาร Slimming มกราคม 2550 , frynn.com , ข่าวไลฟ์สไตล์ ครอบครัวข่าว 3

Relate topics

แสดงความคิดเห็น

« 8089
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง