สะตอฟอร์ยู ::: สนับสนุนให้คนใต้ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น!!!

ผู้หลงใหลการทานเนื้อวัว หากได้ลองลิ้มชิมรสเนื้อคุณภาพชั้นดีอย่าง "วากิว" รับรองต้องอร่อยฟินไม่มีวันลืม ด้วยไขมันชั้นดี (คอเลสเตอรอลต่ำมีประโยชน์ต่อร่างกาย) ที่แทรกอยู่ในเนื้อแดงคล้ายลายหินอ่อน ทั้งรสชาติหวานนุ่มลิ้นที่แทบจะละลายทันทีในปาก และราคาแพงแบบลืมไม่ลง

ทำให้เนื้อวากิวขึ้นว่าเป็น "ราชาแห่งเนื้อวัว"

"ดีไลฟ์" ไม่พลาดตอบรับคำชวนจากกระทรวงเกษตรป่าไม้และประมงของรัฐบาลญี่ปุ่น เข้าคลาสเรียนทำอาหารเมนูจากเนื้อวากิว จากสุดยอดเชฟ "รูอิ ยามากาตะ" แห่งร้านอาหาร CHICCIANO ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องเมนูที่ทำจากเนื้อวากิวในกรุงโตเกียว มาสาธิตวิธีปรุงรสเมนูอร่อยด้วยเนื้อวากิวถึงเมืองไทย

ก่อนอื่นมารู้จัก "เนื้อวากิว" หรือแปลว่าเนื้อวัวที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น เป็นการเลี้ยงดูวัวเป็นอย่างดีที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก บางฟาร์มมีเสื้อกันหนาว และตั้งชื่อให้วัวแต่ละตัวโดยเฉพาะ การเลี้ยงดูวัวในฟาร์มจะเริ่มเลี้ยงลูกวัวที่มีอายุตั้งแต่ 7-10 เดือน

วัวแต่ละตัวจะได้รับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อให้เนื้อวัวมี Marble (ชั้นไขมันที่แทรกตัวอยู่ในชิ้นเนื้อด้านในซึ่งเป็นลายที่สวยงามคล้ายหินอ่อน) เป็นวิธีการเลี้ยงดูอย่างพิถีพิถันแบบตัวต่อตัว จึงไม่น่าแปลกที่ทำให้เนื้อวากิวของญี่ปุ่นมีรสชาติดี และราคาแพงที่สุดในโลกด้วยไขมันที่แทรกซึมอยู่ทั่วชิ้นเป็นคุณสมบัติอันเย้ายวนของเนื้อวากิว โดยเฉพาะเวลาย่างแล้วได้กลิ่นหอม

เหมือนอัลมอนด์ พอได้ลองชิมรสไขมันละลายอยู่ในปาก บวกกับรสเนื้อนุ่มไม่เหนียวเหมือนเนื้อวัวประเภทอื่น เชฟยามากาตะบอกวิธีการสังเกตเนื้อวากิวชั้นดีให้ฟังว่า "เนื้อดีต้องมีสีเนื้อแดงอมชมพู แต่ถ้าเนื้อสีคล้ำก็คือเนื้อคุณภาพไม่ดี และดูเส้นไขมันที่แทรกเข้าไปในเนื้อแดง ถ้าเป็นเนื้อชั้นดีต้องลายหินอ่อนสวย ๆ และเนื้อแดงกับไขมันสีขาวจะกลมกลืนมาก ถือว่าเป็นเนื้อชั้นดี"

หลายคนอาจะเคยได้ยินว่า เนื้อออสเตรเลียก็มีการเลี้ยงวากิวเช่นกัน แต่ราชาเนื้อวัวจากรายการทีวีแชมเปี้ยน

"อิชิฮาระ ทาคาชิ" ชี้ความแตกต่างระหว่างเนื้อวากิวญี่ปุ่นกับออสเตรเลียให้ฟังว่า "ดีเอ็นเอก็ไม่เหมือนกัน วัวญี่ปุ่นเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิม ส่วนออสเตรเลียนำสายพันธุ์วัวญี่ปุ่นไปผสมกับพันธุ์อื่น อีกอย่างวิธีการเลี้ยงก็ต่างกัน วิธีการขุนโคของประเทศญี่ปุ่นจะเลี้ยงแบบตัวต่อตัว เอาใจใส่ในทุกรายละเอียดตั้งแต่เด็กต่างจากประเทศอื่น

วิธีสังเกตง่าย ๆ ไขมันของเนื้อออสเตรเลียจะไม่ได้แทรกเข้าไปในเนื้อแดงมากเท่ากับเนื้อของญี่ปุ่น กลิ่นไขมันก็ต่างกัน เนื้อญี่ปุ่นจะได้กลิ่นเหมือนถั่วอัลมอนด์"

กลับมาที่เนื้อวากิวของญี่ปุ่นก็มีวิธีการเลี้ยงในแต่ละจังหวัดแตกต่างกัน เช่น "เนื้อวากิวนางาซากิ" ที่ถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีจากสถานที่แวดล้อมสวยงามเป็นธรรมชาติ มีอากาศอบอุ่นในฤดูร้อน และเย็นสบายในฤดูหนาว เป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดในการขุนวัว ได้รับการเลี้ยงดูให้อ้วนท้วนสมบูรณ์เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีเลิศ

ความอร่อยของเนื้อนางาซากิ ต้องสดใหม่ เนื้อสีแดงแทรกมัน นุ่มลิ้น ละลายในปาก สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย เช่นหั่นทำเป็นสเต๊กได้ หรือหั่นชิ้นบาง ๆ เอาไปทำเป็นชาบูชาบู

ด้วยเหตุที่เป็นเนื้อชิ้นดีมีราคาแพง เชฟยามากาตะจึงสาธิตวิธีแล่เนื้อวากิวญี่ปุ่นที่ต้องแล่เนื้ออย่างพิถีพิถัน และต้องเข้าใจแต่ละส่วนของเนื้อเป็นอย่างดี เพื่อคงความฉ่ำ พร้อมนำเนื้อแต่ละส่วนมาปรุงเป็น

3 เมนูแนะนำให้ลองทาน

เมนูแรกเป็น สุกียากี้ "ลิ้มรสชาติเนื้อวากิว" แบบไม่ใส่เต้าหู้ทอด เห็ด และบุก เพื่อต้องการให้คนทานได้ลิ้มรสชาติแท้ ๆ ของเนื้อวากิว

ตามด้วยเมนูที่สอง นำเนื้อวากิวส่วน Rib Roast ที่ติดมัน นำไปทอดโดยให้เกรียมเป็นสีน้ำตาลที่ผิวนอก ส่วนเนื้อด้านในยังคงไว้ซึ่งอุณหภูมิอุ่น ๆ เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้ม 3 รสชาติ คือ วาซาบิ โชยุ น้ำปลาพริก และสุดท้ายคือโชยุ น้ำมะนาว มิริน และน้ำมันงา

ปิดท้ายด้วยเมนู "ผัดกะเพราเนื้อวากิว" โดยใช้ส่วนที่แล่เป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่เหลือจากการทำทั้ง 2 สูตรข้างต้นมาทำอาหาร ตอนแรกคิดว่าจะคล้ายกับกระเพราแบบไทย ๆ แต่รสชาติแตกต่างกันด้วยวัตถุดิบที่ใช้คือ กระเทียม ขิง หัวหอม พริก ใบกะเพรา น้ำมะนาว โชยุ มิโสะ เหล้าญี่ปุ่น และน้ำตาล เป็นผัดกะเพราสไตล์ญี่ปุ่น แต่ความอร่อยเด็ดอยู่เนื้อวากิวนุ่มลิ้น

แต่ละเมนูยิ่งถ้าได้ทานพร้อมเหล้าญี่ปุ่นยิ่งได้รสชาติดีอย่าบอกใคร


Cr. // prachachat , via. // สคบ สำนักควบคุมป้องกันฯ