วัดวังตะวันตก
วัดวังตะวันตก
ตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนิน บริเวณที่เชื่อว่าตรงข้ามกับวังตะวันออกอันเป็นนิวาสสถานของเจ้าจอมปราง เดิมเป็นอุทยาน ต่อมาเจ้าพระนคร (น้อย) ยกวังตะวันออก และอุทยานตรงข้ามให้เป็นวัดเช่นเดียวกัน จึงเป็นวัดวังตะวันตก พ.ศ. 2431 พระครูกาชาด (ย่อง)
พร้อมด้วยสานุศิษย์ได้สร้างกุฎิขึ้นหมู่หนึ่ง เป็นเรือนเครื่องสับ 3 หลัง มีหลังคาจั่ว แต่ละหลังคาคลุมเชื่อมต่อกัน ตัวเรือนฝาปะกน ตามประตู หน้าต่างและช่องลม ประดับด้วยลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองนคร ปี พ.ศ. 2535 สมาคมสถาปนิก สยามคัดเลือกกุฎิวัดวังตะวันตกให้เป็นอาคารอนุรักษ์ดีเด่น ประเภทปูชนียสถานและวัดวาอาราม
กุฏิหลังนี้เป็นกุฏิเก่าแก่สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2431 คือเมื่อหนึ่งร้อยปีเศษที่ผ่านมา โดยพระครูกาชาด นามเดิมว่า ?ย่อง? เจ้าอาวาสวัดวังตะวันตกในเวลานั้น มุ่งหมายจะให้เป็นที่สำหรับอาศัยเล่าเรียนพระธรรม โดยใช้เวลาก่อสร้างถึง 13 ปี จุดเด่นที่น่าสนใจของกุฏิหลังนี้ คือหน้าต่างแต่ละบาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสร้างสรรค์ขึ้นด้วยความวิจิตรของผู้ออกแบบ และความบรรจงของช่างผู้ก่อสร้าง
ประวัติความเป็นมา วัดวังตะวันตก
สถานที่ ตั้งวัดวังตะวันตกแต่เดิมเป็นป่าขี้แรดใช้เป็นที่ค้างศพของคนในเมืองซึ่งนำ ออกมาทางประตูผี ซึ่งอยู่ด้านตะวันตกของตัวเมือง แล้วนำล่องเรือมาตามคลองท้ายวังเขาคลองทา แล้วเอาศพไว้ในที่ที่เป็นป่าขี้แรด ต่อมากลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเพราะประเพณีการค้างศพได้เลิกนิยมไป ที่บริเวณนี้จึงกลายเป็นบ้านตากแดด คือปล่อยทิ้งไว้ให้แดดเผา เพื่อล้างสถานที่ที่เคยค้างศพและไม่มีผู้คนกล้าเข้ามาอาศัยอยู่ ต่อมาเจ้าจอมปราง ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า แม่นางเมืองหรือแม่วัง เห็นเป็นที่ว่างและอยู่ใกล้กับวังของท่านเพียงคนละฟาก จึงเกิดความคิดที่จะดัดแปลงที่ว่างนั้นให้เป็นอุทยาน เพื่อเป็นที่พักผ่อนของเจ้าพระยานคร (น้อย) บุตรชาย ประกอบกับเจ้าพระยานคร (พัด) ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช จึงได้ดัดแปลงป่าขี้แรดให้เป็นอุทยาน ต่อมาถึงสมัยเจ้าพระยานคร (น้อย) ได้ตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ต้องรับภาระจัดการพระศพเจ้าจอมมารดาปราง ได้เลือกเอาอุทยานแห่งนี้เป็นที่ฌาปนกิจศพ และได้ปรับปรุงวังตะวันออกให้เป็นวัดวังตะวันออกพร้อม ๆ กันนี้ได้แปรสภาพอุทยานแห่งนี้ให้เป็นวัดอีกวัดหนึ่ง เรียกว่า " วัดวังตะวันตก "
มื่อประมาณ พ.ศ.๒๓๘๐ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ได้สร้างพระพุทธรูปสูงใหญ่ขึ้นองค์หนึ่งไว้ทางทิศใต้ของบริเวณวัด โดยสร้างไว้บนเนินดินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยาน ถวายชื่อว่า "พระศรีธรรมโศกราช" เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศของผู้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช คนทั่วไปนิยมเรียกว่า "พระสูง" เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๕ ประชาชนได้ร่วมกันสร้างวิหารคลุมไว้
ภายในวัดวังตะวันตกมีกุฏิทรงไทยหลังหนึ่งมีลักษณะเป็นหมู่ เรือนไทยสร้างด้วยไม้ เป็นเรือนฝากระดานแบบเรือนสร้างสับ ๓ หลัง หลังคาหน้าจั่วหันไปทางทิศตะวันออกทั้งหมด ตัวเรือนเป็นกุฏิไม้ฝาประกน มีลวดลายแกะสลักไม้ ตกแต่งตามส่วนต่าง ๆ เป็นรูปบุคคลมีปีกประกอบลายพรรณพฤกษา ลายหัวบุคคลมีลำตัวเป็นก้านต้นไม้ กรอบหน้าต่างด้านล่างสลักเป็นลายเครือเถาและลายเรขาคณิต เรือนหลังกลางเป็นห้องโถงโล่ง และเรือนอีก ๒ หลัง เป็นปีกยกพื้นสูงทั้ง ๒ ข้าง มีฐานที่มีหลังคาคลุมต่อเชื่อมกัน หลังคามุงกระเบื้องไม่เคลือบ ด้านทิศตะวันตกเป็นเรือนครัว ซึ่งได้ย้ายมาประชิดกุฏิภายหลัง ใต้กุฏิยกพื้นสูงเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดีปัจจุบันมีชานเรือนทำด้วยปูนซิ เมนต์ เชื่อมหมู่กุฏิและเรือนครัวเข้าด้วยกัน
มีจารึกสลักบนไม้เหนือบนประตูหลังกลางทางด้านตะวันออก กล่าวถึงการสร้างกุฏิหลังนี้ว่า "...กุฏิสามหลังข้างครัวข้างโน้น ข้าพเจ้าอาจารย์ย่อง พร้อมด้วยญาติบรรณาแลสานุศิษย์ ได้เตรียมการจัดหาเครื่องเสาตั้งแต่ปีมเมียจัตวาศก มาได้ยกขึ้นเมื่อ ณ วัน ๒ฯ๔ ค่ำ ปีชวดสัมฤทธิศก พุทธศักราชล่วงแล้ว ๒๔๓๑ พรรษา ก็ทำต่อมาก็ทั่ง ณ วัน ๓ฯ๕ ค่ำปีมแมสัปตศก เป็นวันฉลอง ๑๓ ปีแล้วเสร็จ ก็ทำครั้งนี้เพื่อจะเปลื้องธุระสงฆ์ที่กังวนด้วยฟากฝา แลจะได้อยู่อาไสยเอาเรียนพระธรรม์บำรุงพุทธศาสนาให้จิรัง ท่านผู้อ่านผู้ฟังจงอนุโมทนารับส่วนบุญด้วยเทอญฯ..." นั่นมายถึงว่าอาคารหลังนี้เริ่มสร้างในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ ใช้เวลาสร้าง ๑๓ ปี เพื่อให้พระสงฆ์ได้อาศัยเรียนพระธรรมบำรุงพุทธศาสนา ผู้สร้างคือ พระครูกาชาด(ย่อง) ร่วมกับบรรดาญาติโยม สานุศิษย์
ความเป็นมา (๒)
จากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่สืบต่อกันมาว่า เดิมเป็นที่วัดของพระยาศรีธรรมาโศกราช เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ในสมัยสุโขทัย ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา คงจะย้ายวังจากที่ตั้งเดิมไปหรือหมดวงศ์ของพระยาศรีธรรมมาโศกราช จึงปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า โดยเป็นทรัพย์สินของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ประมาณสมัยรัชกาลที่ ๓ ที่ ๔ ได้มีพระภิกษุสงฆ์เดินธุดงค์มาปักกลดอาศัยพักเป็นครั้งคราว ทายาทของพระยานคร (น้อย) จึงยกถวายให้เป็นที่วัด เพื่อให้พระภิกษุมาอาศัยอยู่เป็นประจำ จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๕) พระครูกาชาด (ย่อง อินทสุวณฺโณ) ได้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส และได้ขอพระราชทาน วิสุงคามสีมา สร้างอุโบสถ ก่อด้วยอิฐ ถือปูนขาว สร้างศาลาการเปรียญ กุฏิทรงไทย และหอพระไตรปิฏก จึงเป็นวัดที่สมบูรณ์
วัดวัง ตะวันตก มีเนื้อที่วัดทั้งหมด ไม่รวมธรณีสงฆ์ จำนวน ๑๑ ไร่ ๒ งาน ๔๑ ตารางวา
โบราณสถานและโบราณวัตถุของวัดวังตะวันตก ประกอบด้วยพระพุทธรูปปางสดุ้งมาร ก่อด้วยอิฐ ถือปูนขาว หน้าตักกว้าง ๑ วา เศษ สูง ๒ วาเศษ ประดิษฐานอยู่บนอาสน์ดินสูง ๒ วาเศษ ชาวบ้านเรียกว่า พระศรีธรรมาโศก
สิ่งก่อสร้างภายในวัด ประกอบด้วย
๑. อุโบสถตามแบบ กรมการศาสนา ขนาด ๘.๕๐ X ๒๓ เมตร คอนกรีตเสริมเหล็ก
๒. ศาลาการเปรียญ ทรงไทยประยุกต์ ขนาด ๑๐ X ๒๐ เมตร คอนกรีตเสริมเหล็ก
๓. หอพระไตรปิฏก ขนาด ๑๒ X ๑๒ เมตร สร้างด้วยอิฐถือปูนขาว ๒ ชั้น
๔. หอรูปพระครูกาชาด ขนาด ๓.๗๐ X ๓.๒๐ เมตร คอนกรีตเสริมเหล็ก
๕. กุฏิเจ้าอาวาส ทรงไทยประยุกต์ ขนาด ๒๐.๕ X ๒๒.๒๕ เมตร คอนกรีตเสริมเหล็ก
๖. หอฉัน ตึกครึ่งไม้ ๒ ชั้น ทรงปั้นหยา ขนาด ๑๓.๗๕ X ๒๘ เมตร
๗. กำแพงวัด คอนกรีตเสริมเหล็ก สูง ๑.๗๐ เมตร
ด้านทิศตะวันออกยาว ๑๐๕ เมตร
ด้านทิศใต้ ยาว ๗๒ เมตร
๘. กุฏิทรงไทย ๑๐๐ ปี ขนาด ๙.๘๕ X ๑๔ เมตร
กุฏิทรงไทยเป็นอาคารเรือนไทยหลังงามระดับหนึ่งในภาคใต้ หรืออาจติดอันดับต้นของประเทศก็ว่าได้ ลักษณะเป็นหมู่เรือนไทยสร้างด้วยไม้ เป็นเรือฝากระดานแบบเรือนสร้างสับ ๓ หลัง หลังคาหน้าจั่วหันไปทางทิศตะวันออกทั้งหมด เรือนหลังกลางเป็นห้องโถงโล่งและเรือนอีก ๒ หลัง เป็นปีกยกพื้นสูงทั้ง ๒ ข้าง มีฐานที่มีหลังคาคลุมต่อเชื่อมกัน หลังคามุงกระเบื้องไม่เคลือบ ด้านทิศตะวันตกเป็นเรือนครัว ซึ่งได้ย้ายมาประชิดกุฏิภายหลัง ปัจจุบันมีชานเรือนทำด้วยปูนซิเมนต์เชื่อมหมู่กุฏิและเรือนครัวเข้าด้วย กัน ตัวเรือนกุฏิไม้เป็นแบบเรือฝาประกน มีลวดลายแกะสลักไม้ ตกแต่งตามส่วนต่าง ๆ เป็นรูปบุคคล มีปีกประกอบลายพรรณพฤกษา ลายหัวบุคคลมีลำตัวเป็นก้านต้นไม้ กรอบหน้าต่างด้านล่างสลักเป็นลายเครือเถาและลายเรขาคณิต ใต้กุฏิยกพื้นสูงเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี
ประวัติการ อนุรักษ์
๒๕๓๓ คณะกรรมการดำเนินการบูรณะกุฏิทรงไทยมีมติเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๓๓ ให้ย้ายกุฏิไปตั้งไว้ทางด้านทิศเหนือของวัด
๒๕๓๔ มีการบูรณะปฏิสังขรณ์กุฏิทรงไทยทั้งหลังเป็นเงินงบประมาณ ๑,๒๒๔,๔๗๕ บาท ในจำนวนนี้เป็นเงินงบประมาณของกรมศิลปากร ๘๐๐,๐๐๐ บาท และเงินบริจาคของจังหวัดนครศรีธรรมราช ๔๒๔,๔๗๕ บาท บริษัทศิวกรการช่างเป็นผู้ดำเนินการ
๒๕๓๖ กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานคณะกรรมาธิการ อนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรม สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ มีมติให้ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น ประจำปี ๒๕๓๖
๒๕๕๒ สำนักศิลปากรที่ ๑๔ เสนอของบประมาณสำหรับการบูรณะ งบประมาณ ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ลำดับเจ้าอาวาส ครองวัดวังตะวันตก ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ รวมทั้งหลักฐานที่เป็นภาพวาดและภาพถ่ายในงานทำบุญประจำปีอดีตเจ้าอาวาส มีดังนี้
๑. พระครูกาชาด (ย่อง อินฺทสุวณฺโณ)
๒. พระปลัดเจียม รตโน
๓, พ่อท่านรอด
๔. พระมหาสะอาด สุวรรณนพรัตน์
๕. พระครูประโชติศาสนกิจ ถึง พ.ศ.๒๕๒๕
๖. พระเทพสิริโสภณ พ.ศ.๒๕๒๖ ถึงปัจจุบัน
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : http://www.nakhontourism.org/travel/details.php?imageid=12&sessionid=sp7r0f97h7i6gcrmcofcu8ff84 และhttp://www.panoramio.com/user/3228596/tags/กุฏทรงไทย%20วัดวังตะวันตก%20นครศรีธรรมราช และ http://leklao.blogspot.com/2010/09/blog-post23.html
สะตอฟอร์ยูดอทคอม (Sator4U.com FC) on Facebook
Relate topics
- ตลาดปล่อยของ จ.ภูเก็ตตลาดนัดสุดบรรเจิดท่ามกลางบรรยากาศกลางแจ้งแบบสบาย ๆ ใน Limelight Avenue ใจกลางเมืองภูเก็ต ที่มีพื้นที่สำหรับปลดปล่อยสินค้าไอเดีย โดยภายในตลาดจะมีพ่อค้าแม่ขายมาวางของแฮนด์เมดดีไซน์เก๋ ๆ แฟชั่นแนว ๆ อาทิ
- 20 สถานที่ท่องเที่ยว "พังงา" ที่ชาตินี้ต้องไปเยือนให้ได้!!!แร่หมื่นล้านบ้านกลางน้ำถ้ำงามตา ภูพาแปลก แมกไม้จำปูน บริบูรณ์ด้วยทรัพยากร
- เจดีย์ปะการัง โบราณสถานเก่าแก่ของเมืองขนอม เชื่อกันว่ามีอายุมากกว่า 1000 ปีเจดีย์ปะการัง โบราณสถานเก่าแก่ของเมืองขนอม เชื่อกันว่ามีอายุมากกว่า 1000 ปี ประดิษฐานอยู่บนยอดเขาธาตุ ในวัดจันทน์ธาตุทาราม เจดีย์เป็นรูปโอคว่ำ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-6 เมตร สร้างขึ้นโดยนำหินปะการั
- มารู้จัก "โลมาสีชมพู" พระเอกแห่งท้องทะเลขนอม จ.นครศรีธรรมราช กันเถอะ! ก่อนอื่น! ลองมาทำความรู้จัก "ขนอม ...อัญมณีแห่งอ่าวไทย" กันสักฮี
- เจดีย์ไตรภพไตรมงคล หรือ เจดีย์สเตนเลสส์ ตั้งสถิตโดดเด่นเป็นสง่า อยู่บนยอดเขาคอหงส์เจดีย์ไตรภพไตรมงคล หรือเจดีย์สเตนเลสส์ อันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำด้วยวัสดุสเตนเลสส์ ตั้งสถิตโดดเด่นเป็นสง่า อยู่บนยอดเขาคอหงส์ ตั้งอยู่หมู่ที่ 8 บ้านในไร่ ถนนปุณณกัณฑ์ ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหว
- เกาะรอก แม้จะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ คู่กันสองเกาะ แต่มีธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่นักเกาะรอก ไกลจากเกาะลันตาใหญ่ออกสู่ทะเลกว้างอีก 47 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของเกาะรอก แม้จะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ คู่กันสองเกาะ แต่มีธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่นัก เป็นเจ้าของหาดทรายขาว น้ำทะเลสีมรกต มีปะการังฝูงปลาหลา
- เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล"เกาะหลีเป๊ะ (Koh Lipe)" เป็นหนึ่งในหลายๆ เกาะของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา ซึ่ง หลีเป๊ะ จะตั้งอยู่สุดเขตแดนใต้ อยู่ในกลุ่มของหมู่เกาะอาดัง - ราวี และอยู่ห่างจาก ท่าเรือปากบารา 62 กิโลเมตร ตัวเกาะเ
- เที่ยวบากันใหญ่-หัวทาง กลางมรสุมอันดามันเที่ยวบากันใหญ่-หัวทาง กลางมรสุมอันดามัน (อ.ส.ท.) จริยา ชูช่วย...เรื่อง นภดล กันบัว...ภาพ “ไปทำไมอันดามันหน้ามรสุม” ปลายเดือนมิถุนายนไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวของฝั่งอันดามันเป็นแน่ เกาะตะรุเตา เกา
- วิทยาลัยชุมชนสงขลา จัดกิจกรรมทดลองการนำเที่ยวเชิงนิเวศตำบลบ้านขาว อ.ระโนด นำร่อง การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน “อเมซอนแห่งลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา”วิทยาลัยชุมชนสงขลา จัดกิจกรรมทดลองการนำเที่ยวเชิงนิเวศตำบลบ้านขาว อ.ระโนด นำร่อง การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน “อเมซอนแห่งลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา” ที่จุดลงเรือ ตำบลบ้านขาว อ.ระโนด จ.สงขลา วิทยาลัยชุ
- เขาไข่นุ้ย ...จุดชมทะเลหมอกของพังงา อะเมซิ่งทะเลหมอกสุดเจ๋งเขาไข่นุ้ย ตั้งอยู่ที่ บ้านฝายท่า ต.ทุ่งมะพร้าว อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา โดยทางอบต.ทุ่งมะพร้าวมีโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ด้วยการปรับพื้นที่ จัดแต่งภูมิทัศน์ให้เหมาะสม ปรับแต่งลานการเต็นท์ จัดสร้างห้องน