สะตอฟอร์ยู ::: สนับสนุนให้คนใต้ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น!!!

การเลี้ยงกบ

by sator4u_team @14 ก.พ. 58 23:26 ( IP : 113...137 ) | Tags : ทำมาหากิน
photo  , 500x375 pixel , 74,841 bytes.

การเลี้ยงกบ

พันธุ์กบโดยทั่วไปนั้น ขนาดที่เหมาะสมสำหรับการผสมพันธุ์คือ มีน้ำหนัก 300-700 กรัม อายุ 12-16 เดือนขึ้นไป โดยมีไข่แก่และน้ำเชื้อดี


พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์กบที่ดีควรมีลักษณะดังนี้คือ

  1. มีสภาพสมบูรณ์ในระบบการผสมพันธุ์
  2. มีอัตราการเติบโตปกติสม่ำเสมอ
  3. เลี้ยงบำรุงด้วยอาหารอย่างดี
  4. ไม่ควรได้รับการกระทบกระเทือนที่รุนแรง
  5. ไม่มีบาดแผลตามลำตัว
  6. ไม่มีโรคและพยาธิเบียดเบียน
  7. มีรูปร่างสมส่วนตามสายพันธุ์
  8. มีอายุถึงขั้นสมบูรณ์เพศ


    การแยกเพศกบ

  9. ขนาดลำตัว กบเพศผู้จะมีขนาดเล็กกว่ากบเพศเมีย เมื่อเลี้ยงไว้พร้อมกันหรือรุ่นเดียวกันจะสังเกตได้ง่าย

  10. กล่องเสียง กบเพศผู้จะมีกล่องเสียงเป็นแผ่นกลม ๆ อยู่ใต้คางทั้งสองข้าง
  11. ส่วนท้องกบเพศเมียมีดวามกว้างของลำตัวมากกว่ากบเพศผู้ และเมี่อถึงฤดูกาลผสมพันธุ์ กบเพศเมียจะมีท้องโป่งตลอดเวลา เนื่องมาจากการ เจริญเติบโตของรังไข่
  12. สีในฤดูกาลผสมพันธุ์ กบเพศผู้จะมีสีเหลืองเข้มหรือเหลือง ประปรายตรงบริเวณริมฝีปากล่างลงมาจนถึงใต้คาง
  13. บริเวณนิ้วโป้งในฤดูผสมพันธุ์บริเวณนิ้วโป้งของกบเพศผู้จะมี ปุ่มหยาบๆเกิดขึ้นอย่างเด่นชัด ชึ่งจะช่วยให้จับเกาะบนผิวตัวเมียได้แน่นและปุ่ม เหล่านี้จะหายไปจนกว่าจะถึงฤดูกาลผสมพันธุ์ใหม่


    สภาพแวดล้อมกับการผสมพันธุ์กบ

ในธรรมชาติกบจะผสมพันธุ์และวางไข่ในฤดูฝน กบจะวางไข่ในบริเวณที่ มีน้ำตื้น มีพันธุ์ไม้น้ำขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นพอสมควร ปัจจัยที่มีผลเกี่ยวข้องต่อการ ผสมพันธุ์ของกบได้แก่ 1. อุณหภูมิ อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการผสมพันธุ์และการวางไข่ของ กบต้องไม่ต่ำกว่า 25 องศาเชลเชียส และไม่ควรมีอุณหภูมิที่สูงเกินไป โดยปกติ อุณหภูมิในประเทศไทยจะมีความเหมาะสมดีอยู่แล้ว 2. แสงสว่าง เมี่อกบไข่แล้วหากแสงสว่างไม่เพียงพอ แม่กบจะไม่ยอมผละจากไข่จะยังคงเฝ้าและดูแลไข่ของตน และในกรณีของการฟักไข่ ไข่ที่อยู่ในที่ร่มแสงแดดส่องไม่ถึงก็จะไม่ค่อยฟักออกเป็นตัวเช่นกัน 3. ความชื้น โดยสัญชาตญาณกบจะไม่วางไข่ในที่แล้ง กบจะไข่ ภายหลังฝนตาหรือระหว่างที่ฝนตก ดังนั้นในการกระตุ้นให้กบผสมพันธุ์และ วางไข่โดยวิธีการฉีดโปรยให้เหมือนกับมีฝนตก จะช่วยให้กบผสมพันธุ์และ วางไข่ดีขั้น 4. หลังจากผสมพันธุ์แล้ว 2-3 วัน ไข่กบที่จมอยู่ก้นบ่อก็จะค่อยๆ ลอยขึ้นพร้อมๆ กัน มีวุ้นหุ้มโดยรอบ เพื่อช่วยปัองกันความร้อน และช่วยรักษาอุณหภูมิให้เหมาะสมกับาารฟักเป็นตัว และยังช่วยปัองกันมิให้เชื้อโรดเข้าทำลายไข่ ทั้งยังทำให้ไข่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนอีกด้วย


พันธุ์กบ

กบที่พบในประเทศไทยนั้นมีถึง 34 ชนิด และในต่างประเทศอีกหลายชนิด ซึ่งรวมแล้วไม่น้อยกว่า 100 ชนิด กบบางชนิดมีขนาดที่ใหญ่มาก บางชนิดมีขนาดปานกลาง และบางชนิดก็มีขนาดเล็ก แตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ สำหรับผู้ที่สนใจควรเสาะหาพันธุ์เพี่อนำมาเลี้ยงกันหลาย ๆ ชนิด พันธุ์กบที่จะแน ะนำต่อไปนี้สามารถเลี้ยงได้ในเมืองไทย ซึ่งมีทั้ง กบพันธุ์พื้นเมือง และกบจากต่างประเทศที่มีคุณสมบัติเหมาะกับสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศในบ้านเรา ดังต่อไปนี้


1 . กบนา ( Rana tigerina Daudin) เป็นกบขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ ตัวที่โตเต็มที่ยาวประมาณ 5 นิ้ว ขนาด ประมาณ 4 ตัวต่อกิโลกรัม ผิวมีสีน้ำตาลปนเขียว อาจจะแตกต่างกันบ้างตามแหล่งที่ อยู่อาศัย ลักษณะโดยทั่วๆ ไปสังเกตุได้คือ ขาหน้าสั้นอยู่ระหว่างไหล่กับตา ปุ่มกระดูกเท้าล่างไม่แหลมคม มีสีคล้ำและมีลายพาดสีจาง ๆ ตรงริมฝีปาก ใต้คางอาจมีจุดหรือลายริ้วตรงคอหอย ด้านหลังมีสีเขียวอมน้ำตาล มีจุดสีดำเป็นจำนวนมาก


2. กบนา (Rana rugulosa Wiegmann) เป็นกบขนาดกลางตัวที่โตเต็มที่ยาวประมาณ 5 นิ้ว ขนาดประมาณ 6 ตัวต่อ 1 กิโลกรัม ผิวสีน้ำตาลปนดำ อาจจะแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยตามแหล่งที่อยู่อาศัย ลักษณะโดยทั่ว ๆ ไปที่สังเกตุได้คือ ขาหน้าและขาหลังมีขนาดยาวปานกลาง ส่วนนิ้วมีแผ่นหนัง ระหว่างนิ้วเกือบสุดปลาย ปลายนิ้วไม่มีแผ่นยึดเกาะ ปลายนิ้วเท้ามีปุ่มเล็กน้อย ไม่มีปุ่มที่กระดูก ฝ่าเท้า ด้านหลังมีแถบสีดำขาดเป็นตอน ๆ ประมาณ 10 แถว ขอบในดวงตาแคบกว่าเปลือก ตาบน บริเวณหัวและลำตัวส่วนหลังมีสีน้ำตาล ขามีลายพาดขวาง มีสีน้ำตาลตลอด ใต้ดางมีจุดเด่นสีเทา


3. กบภูเขา หรือเขียดแลว (Rana bythii Boulenaer) เป็นกับพื้นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ตัวที่โตเต็มที่ขนาดประมาณ 3 กิโลกรัม ขึ้นไป ชาวบ้านเรียกกันอีกชี่อหนึ่งว่า กบคลอง ตามแหล่งอาศัย ลักษณะโดยทั่ว ๆ ไป ที่สังเกตุได้คือ ปลายนิ้วโป้งนิ้วขาหน้าแยกออกจากกัน ผิวหนังด้านข้างไม่นูนโป่ง ไม่ม็ถุงลม ไม่มีแผ่นหนังที่นิ้วขาหน้าอันแรก ซึ่งยาวกว่านิ้วอันที่สอง แก้วหูห่างจากตาเป็นระยะทาง มากกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของตา กบเพศผู้จะมีเขี้ยวออกจากขากรรไกรล่างยืนยาว ส่วนเพศเมียจะสั้นกว่า มีตาโต ในบางท้องที่อาจมีเส้นพาดกลางหลัง จากริมฝีปากถึงส่วนก้น บางแหล่งไม่มี ที่ขามีลายพาดสีน้ำตาลเข้มตลอด ลำตัวมีสีน้ำตาลแดงหรือดำ ใต้คาง ใต้ท้องมีสีขาว-เหลือง ริมฝีปากบนและล่างมีจุดสีดำ พบมากแถบภาคเหนือและภาคใต้


4. กบบูลฟรอค (Rana catesbeiana show) เป็นกบที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เข้าใจว่าใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา โตเต็มที่มีน้ำหนักมากกว่า 1 กิโลกรัมขึ้นไป ตัวที่โตมีความยาวถึง 8 นิ้ว ลำตัวกว้าง ส่วนหัวสีเขียว ส่วนหลังมีสีน้ำตาลเขียว ส่วนท้องมีสีขาวเหลือง ผิวหนังขรุขระมีปุ่มขนาดเล็กๆ อยู่ที่ส่วนหลัง ไม่มีสันข้างตัวแต่จะมีสันตรงด้านหลังของแก้วหู ที่ขามีจุดสีน้ำตาลประปราย บางท้องที่อาจมีสีคล้ำหรือดำ


บ่อและการสร้างบ่อ

บ่อเลี้ยงกบควรจะสร้างด้วยคอนกรีต หรือวัสคุอี่น ๆ ที่มีความแข็งแรงพอสมควร สามารถป้องกันไม่ให้กบหนี และป้องกันศัตรูจากภายนอกไม่ให้เข้าไปทำลายกบได้ บ่อเลี้ยง กบที่ดีควรมีลักษณะดังนี้คือ

  1. บ่อรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ควรมีความกว้าง 5 เมตร ยาว 10 เมตร บ่อกลมควรมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 เมตร

  2. บ่อรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทำชานบ่อทางด้านกว้างทั้ง 2 ด้านให้ชานบ่อยาว 30 เชนติเมตร กว้าง 1.5 เมตร โดยให้ชานลาดเอียงสู่กลางบ่อ ส่วนทางด้านยาวทำ ลาดเอียงสู่ท่อระบายน้ำ ส่าหรับบ่อกลมพื้นบ่อควรลาดเอียงสู่จุดศูนย์กลางของบ่อซึ่งเป็น ที่ระบายน้ำทิ้ง มีดวามลึกประมาณ 12 เชนติเมตร

  3. คันบ่อ ควรสูงอย่างน้อย 60 เซนติเมตร และกั้นด้วยตาข่ายเพื่อป้องกัน กบกระโดดออกจากบ่อเลี้ยง

  4. หลังคา ควรมีหลังคาคลุมบ่อเลี้ยงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของเนื้อที่บ่อ หลังคาจะช่วยบดบังแสงแดดและป้องกันมิให้กบตกใจด้วย
    สำหรับการสร้างบ่อเลี้ยงกบด้วยคอนกรีตนั้น หลังจากการสร้างบ่อเสร็จน้ำในบ่อ จะมีสภาพเป็นด่างมาก ยังไม่เหมาะที่จะใช้เลี้ยงกบ ให้แก้ไขโดยใช้สารส้มหนัก 1 กิโลกรัม ต่อน้ำนบ่อ 1 ลูกบาศก์เมตร แช่ทิ์งไว้ 3-4 วัน จึงถ่ายน้ำทิ้งแล้วขัดให้สะอาดด้วยแปรง ตากบ่อให้แห้งเติมน้ำใหม่ลงไปก็เริ่มใช้เลี้ยงกบได้ ข้อควรระวังดืออย่าตากบ่อคอนกรีต ไว้นานจะทำให้บ่อแตกร้าวได้


    วิธีเลี้ยงกบ

การเลี้ยงกบในปัจจุบัน ลูกกบที่นำมาเลี้ยงได้มาจาก 2 แหล่ง คือ

  1. ลูกกบจากธรรมชาติ เป็นการรวบรวกบที่มีอยู่ในธรรมชาติมาเลี้ยงในบ่อ จนกระทั่งได้ขนาดก็จับขาย ามารถแบ่งเป็นขั้นตอนได้ดังนี้ 1.1 การรรวบรวมลูกอ๊อดและการอนุบาล ทำการรรวบรวมไข่กบที่ผสมแล้ว จากแหล่งน้ำธรรมชาติมาพาะฟักและอนุบาลในบ่อที่เตรียมไว้ หรืออาจช้อนลูกอ็อดถบที่พบเห็น อยู่ตามธรรมชาติมาเลี้ยง หรือโดยการจับพ่อแม่พันธุ์กบ ในช่วงต้นฤดูฝนมาเลี้ยงในบ่อเพื่อ ให่ผสมพันธุ์กันและออกไข่ในบ่อเลี้ยง ป็นต้น อุปสรรดส่าคัญของการจับลูกอ๊อดมาเลี้ยงก็คือ มักจะมีลูกอ๊อดของเขียด หรือคางคกปะปนมาด้วยผู้จับจึงต้องมีความรู้และความชำนาญในการเลือก ข้อสังเกตุง่าย ๆ คือ หัวลูกอ๊อตเขียดจะแหลมกว่าหัวลูกอ๊อดกบ ขนาดตัวก็เล็กกว่ารวมทั้งลายที่หลังและเส้นขาวที่พาด ตามลำตัวก็ไม่เหมือนกัน สีที่ด้านหลังและส่วนท้องก็แตกต่างกัน และถึงแม้จะเป็นลูกอ็อดกบ แต่กบก็มีหลายชนิด เช่น กบบัว ชี่งมีขนาดโตเต็มที่เพียงแค่ 15 กรัม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ประสบการณ์ของผู้เลี้ยง การรวบรวมลูกกบจากธรรมชาติเพื่อนำมาเลี้ยงมีหลายวิธีเช่น

1.1.1 การจับด้วยมือเปล่าโดยใช้ไฟฉายหรือตะเกียงส่องแล้วใช้มือตะปบ จับใส่ถุงผ้าที่สะพายติดตัวไป 1.1.2 การจับด้วยแห จะใช้แหที่มีตาถี่ ทอดเหวี่ยงโดยวิธีเดียวกับการจับปลา 1.1.3 การจับด้วยการขุดหลุมดัก ทำหลุมลึกประมาณ 1 เมตรในบริเวณ ที่มีลูกกบชุกชุม ก้นหลุมวางอาหารผสมหรืออาหารหมักล่อไว์ในตอนเย็น ปากหลุมราดน้ำให้ เปียกชุ่มปรับให้เรียบและลื่นเป็นมัน ลูกกบจะมากินอาหารในตอนกลางคืนแล้วไม่สามารถขึ้น จากหลุมได้ ในตอนเช้าจึงมารวบรวมลูกกบ อย่าปล่อยทิ้งไว้ข้ามวันลูกกบจะมีโอกาสตายได้มาก 1.1.4 การจับด้วยเครื่องมือดัก คล้ายไซดักปลา ด้านหน้ามีทางเข้าทางเดียว ด้านท้ายมีประตูเปิดปิดได้ เมื้อลูกกบเข้าแล้วจะออกไม่ได้ เมื่อต้องการจะใช้งานนำเครื่องมือนี้ ให้ฝังดินให้พื้นล่างเสมอกับผิวดิน ปิดด้วยหญ้า ราดน้ำพอชุ่ม ด้านหน้าปรับผิวดินให้ลื่น ภายใน เครื้องมือดักใส่อาหารล่อ ลูกกบจะเข้าไปกินอาหารในตอนกลางคืน ตอนเช้าจึงรวบรวมลูกกบที่ได้ 1.2 การเลี้ยงลูกกบ ภายหลังจากลูกอ๊อดเจริญกลายเป็นกบแล้ว จะดำเนินการ อนุบาลจนกระทั่งเติบโตได้ขนาดจึงปล่อยลงบ่อเลี้ยง ลูกกบที่ปล่อยลงบ่อเลี้ยงนี้นิยมลูกกบ ที่มีขนาด 3-5 เชนติเมตรขี้นไป หรือถ้ารวบรวมจากธรรมชาติก็ต้องมีขนาดที่ทราบแน่นอนแล้ว ว่าเป็นลูกกบ 2. ลูกกบจากโรงเพาะฟัก เป็นวิธีการเลี้ยงที่ดีที่สุด เพราะจะได้ผลผลิตมากและแน่นอน นอกจากนี้ต้นทุนยังต่ำ สามารถลดปัญหาการบอบช้ำจากการลำเลียงลูกกบจากธรรมชาติได้อีกด้วย วิธีนี้ลูกกบจะได้มา โดยการนำเอาพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่มีลักษณะดีมาผสมกันในบ่อผสมพันธุ์ แลัวนำไข่ท็่ได้มาฟักใน บ่อเพาะฟกเพื่อให้ไดัลูกกบ แล้วจึงนำไปอนุบาลต่อในภายหลัง


การผสมพันธุ์กบ

  1. การผสมพันธุ์ในฤดูผสมพันธุ์ ส่วนมากในคืนแรกหรือคืนที่ 2 หลังจากฝนตก กบจะทำการผสมพันธุ์ วางไข่แต่ อาจยึดเยื้อไปได้อีก โดยจะผสมพันธุ์วางไข่หลังจากฝนตกประมาณ 5-7 วัน เมื่อเลือกกบ ที่มีลักษณะดีแล้วให้นำมาปล่อยในบ่อผสมพันธุ์ในอัตราตัวผู้ 2 ตัวต่อตัวเมีย 10 ตัว ระดับน้ำในบ่อลึกประมาณ 10-15 เซนติเมตร ภายในบ่อ ใส่พวกสาหร่ายลงไปด้วยพอประมาณ รักษาระตับน้ำให้คงที่ตลอดเวลา ในช่วงนี้งดให้ อาหารประมาณ 2-3 วัน ถ้ายังไม่มีฝนตกให้เปลี่ยนน้ำใหม่ และอาจพ่นน้ำในบ่อผสมพันธุ์ ไห้เหมือนกับฝนตก หลังจากนั้นกบก็จะผสมพันธุ์และวางไข่ในเวลาเช้ามืด

  2. การผสมพันธุ์นอกฤดู ได้มีผู้คิดค้นและทดลองปฎิบัติกันหลายวิธี เช่น เมื่อเข้าสู่ฤดูแล้งจะเติมน้ำจนเต็ม บ่อเลี้ยงกบ และฉีดน้ำให้กบชุ่มชื้นอย่างน้อย 2 วันต่อครั้ง แล้วถ่ายน้ำออกปล่อยให้บ่อแห้ง ประมาณ 2-3 วัน เมื่อบ่อแห้งดีแล้วจีงทำการคลุมหลังคาให้ร่มครึ้มอย่างเดิมอีกครั้ง
    หลังจากนั้นฉีดน้ำให้บ่อกบชุ่มชื้น 6-7 วันติดต่อกัน แล้วฉีดน้ำต่ออีก 15 นาที สังเกตว่าในตอน กลางคืนกบจะร้อง พอเช้าให้ฉีดน้ำในตอนเที่ยงและบ่ายครั้งละครี่งธั่วโมง หลังจากนั้นใน เวลาประมาณ 4 นาฬิกาถึง 5 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น กบก็จะจับคู่ผสมพันธุ์และวางไข่ จากนั้นก็จะแยกกันไปหลบในที่อาศัย ผู้เลี้ยงก็จะสามารถจับพ่อและแม่พันธุ์คืนสู่บ่อเลี้ยงเดิมได้


    กรณีดังกล่าวนีค่อนข้างยุ่งยาก ทางที่ดีควรแยกเลี้ยงพ่อและะแม่พันธุ์กบ เมื่อ ต้องการจะเพาะก็คัดพ่อพันธุ์กบที่มีน้ำเชื้อดี และแม่พันธุ์ที่มีไข่แก่ลงบ่อเพาะที่เตรียมไว้ดัง ได้กล่าวแล้วข้างต้น กบจะผสมพันธุ์วางไข่ในคืนแรกหรือคืนที่ 2 ถ้ากบไม่วางไข่จะต้อง เปลี่ยนน้ำใหม่อีกครั้ง กบอาจผสมพันธุ์วางไข่ได้ แต่ถ้ากบยังไม่วางไข่ก็ต้องปลี่ยนพ่อและ แม่พันธุ์ไหม่


    การฟักไข่

การฟักไข่มีขั้นตอนปฎิบัติดังนี้

  1. ทำความสะอาดบ่อฟักไข่ โดยใช้ฟอร์มาลีน 38-40 เปอร์เซ็นต์ ในอัตรา 30 ชีชี ต่อน้ำ 1000 ลิตร ราดให้ทั่วบ่อ แช่ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที เสร็จแล้วใช้น้ำสะอาดล้างทำ ความสะอาดให้หมดกลิ่น
  2. เติมน้ำสะอาดให้ลึกประมาณ 10 เซนติเมตร
  3. ใส่พันธุ์ไม้น้ำ เช่น ผักบุ้ง สาหร่าย และไม้น้ำชนิดอื่น ๆ ในบ่อฟักไข่ให้กระจาย สม่ำเสมอพอประมาณ
  4. รวบรวมไข่กบที่ได้ปล่อยลงในบ่อ บ่อขนาด 18-25 ตารางเมตร จะจุไข่กบได้ ประมาณ 5,000 - 7,000 ฟอง
  5. เพิ่มออกซิเจนด้วยเครื่องอัดอากาศตลอดเวลา
  6. ถ่ายน้ำทุก ๆ วัน ๆ ละครึ่งหนึ่งของบ่อ


    การอนุบาลลูกกบ

การอนุบาลลูกกบจะแบ่งเป็น 2 ระยะคือ

  1. การอนุบาลลูกกบระยะแรก (ลูกอ๊อด) ให้ปฎิบัติดังนี้ 1.1 หลังจากไข่กบฟักออกมาเป็นตัว แล้วลูกกบจะมีลักษณะเหมือนลูกปลาให้รีบช้อน ลูกกบมาปล่อยลงเลี้ยงในบ่ออนุบาลระยะแรก ก่อนที่ถุงไข่แดงที่ติดมากับตัวลูกกบจะยุบหมด ส่าหรับจำนวนลูกกบที่จะปล่อยนั้นประมาณ 2,000 ตัวต่อตารางเมตร 1.2 การให้อาหาร ได้แก่ ไรแดงและอาหาร ปลาย่างผงหรือไข่ตุ๋น ซึ่งควรเตรียมไว้ก่อนในบ่อ พอถุงไข่แดงยุบลูกกบก็สามารถกินอาหารได้เลย 1.3 การถ่ายเทน้ำ ควรกระทำทุกวัน วันละ 50-70 เปอร์เช็นต์ของจำนวนน้ำในบ่อทั้งหมด 1.4 ควรให้อากาศกับน้ำด้วยเพื่อให้น้ำมีสภาพสะอาด จะทำให้ลูกกบกินอาหารได้มาก และเจริญเติบโตเร็ว 1.5 การเจริญเติบโตของลูกกบ หลังจากฟักออกจากไข่ประมาณ 1-2 อาทิตย์ จะมีขาหลัง 2 ขาโผล่ออกมาจากส่วนท้ายของลำตัวบริเวณโคนขา เมื่อขาหลังเจริญเต็มที่ก็จะมี ขาหน้าโผล่ออกมาอีกทั้ง 2 ข้างของช่องเหงือกทางด้านหน้าของลำตัว หางจะเริ่มหดสั้นลง ปากจะเริ่มสมบูรณ์ขึ้น สามารถขึ้นกินอาหารได้เช่นเดียวกับกบตัวโต ซึ่งระยะเวลาในการเจริญ เติบโตนี้จะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ แต่โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 25-35 วัน จากลูกอ๊อดมาเป็นกบเล็ก

  2. การอนุบาลลูกกบระยะพี่สอง (กบเล็ก) หลังจากลูกกบมีขาครบสมบูรณ์ดีแล้ว ให้ย้ายลูกกบไปเลี้ยงในบ่ออนุบาลระยะที่สอง เพื่อมิให้ลูกกบกัดกินกันเอง มีหลักปฎิบัติดังนี้คือ 2.1 การให้อาหาร ลูกกบที่มีขาสมบูรณ์ จะเริ่มกินอาหารที่เคลื่อนไหวได้ เช่น ลูกกุ้ง ลูกปลา หนอนแมลงขนาดเล็ก แต่ถ้าไม่สามารถหาอาหารดังกล่าวได้ก็ให้อาหารพวกเครื่องในสับ เศษปลาสับหรือให้อาหารผสมด้วยโดยค่อย ๆ หัดให้ลูกกบกินและควรหัดให้ลูกกบกินอาหารที่หา ได้ง่ายและมีปริมาณที่แน่นอน เช่น อาหารเม็ด 2.2 การถ่ายเทน้ำ อาหารที่ให้จะทำให้น้ำเสีย ควรเปลี่ยนน้ำบ่อย ๆ เพี่อปัองกันน้ำเสีย การรักษาคุณภาพของน้ำให้ดีอยู่เสมอ จะมีส่วนช่วยให้กบมีสุขภาพสมบูรณ์ ลูกกบระยะสองนี้ เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อเลี้ยงได้ประมาณ 1 เดือน ควรคัดกบที่มีขนาดโตกว่านำไปเลี้ยงในบ่อเลี้ยงได้ เพราะลูกกบมีขนาดต่างกัน หรือมีปริมาณหนาแน่นเกินไปก็จะกัดกินกันเอง


    อาหารและการให้อาหาร

  3. ชนิดของอาหาร ชนิดของอาหารและวิธีการให้ แบ่งตามระยะเวลากวรเจริญเติบโตของกบ ดังนี้คือ 1.1 อาหารธรรมชาติ ได้แก่ ไรแดงและแพลงค์ตอน จะให้ลูกอ๊อดหลังจากถุง ไข่แดงยุบและให้กินอาหารเหล่านี้ประมาณ 1-2 อาทิตย์ 1.2 อาหารสำเร็จ ได้แก่ ไข่แดง เนื้อปลาต้มสุก ผักกาดขาวลวกพอให้สุก ไข่ตุ๋น เป็นต้น ซึ่งเป็นอาหารเสริมอาหารธรรมชาติต้องอาศัยการฝึกให้ลูกกบรู้จักกินอาหารพวกนี้ เพราะระยะแรกลูกอ๊อดจะไม่กินอาหาร 1.3 อาหารเป็นหรืออาหารที่ยังมีชีวิต ได้แก่ หนอนและแมลงต่าง ๆ ซึ่งเป็นอาหาร ที่ลูกกบเล็กและกบโตชอบ 1.4 อาหารผสม ได้แก่การนำอาหารต่าง ๆ มาผสมให้เข้ากัน โดยใช้เครื่องผสมอาหาร หรือจะใช้อาหารผสมอัดเม็ดเหมือนกับอาหารปลาก็ได้ อาหารที่ใช้ควรมีโปรตีนประมาณ 30-40 เปอร์เชนต์ ชนิดและขนาดของอาหารผสมควรมีความสัมพันธ์กับขนาดของลูกกบด้วย ดังนี้

ขนาดของกบ (เซนติเมตร) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของอาหาร (มิลลิมตร) ขนาดความยาวอาหาร (เซนติเมตร) 1.0-2.5 1.5-2.0 0.5
2.5-5.0 2.0-4.0 1.0-1.5
7.5-10.0 8.0-10.0 1.5
มากกว่า 10.0 10.0 ไม่จำกัด


2. การเตรียมอาหาร อาหารชนิดต่าง ๆ ที่ใช้เลี้ยงกบมีวิธีเตรียมดังนี้

2.1 ไรแดง การเพาะไรแดงเพี่อให้เป็นอาหารของลูกกบหลังจากลูกกบเป็นตัวใหม่ ๆ นั้นจะเพาะไรแดงในบ่ออนุบาลเลย เมื่อถุงอาหารของลูกอ๊อดยุบตัว ลูกอ๊อดจะสามารถกินไรแดง เป็นอาหารได้เลย วิธีเพาะมีดังนี้คือ 2.1.1 ใส่น้ำลงในบ่อให้มีความลึกประมาณ 20 เชนติเมตร 2.1.2 ใส่ส่วนผสมดังต่อไปนี้ลงในบ่อ ขี้วัวแห้ง 2.4 กิโลกรัม (3 ลิตร) รำละเอียด 800 กรัม ยูเรีย 10 กรัม (3- 4 ช้อนชา) น้ำ 1 ตัน 2.1.3 หลังจากใส่ส่วนผสมลงไปในบ่อ 3 .5 วัน น้ำจะเริ่มมีสีเขียว ให้ไส่หัวเชื้อ ไรแดงลงไปประมาณ 3-4 วัน ก็จะเกิดไรแดงส่าหรับเป็นอาหารของลูกอ๊อด และถ้าต้องการให้มี ไรแดงในบ่ออีกให้เติมรำละเอียดอีก 1/4 ลิตรต่อน้ำ 1000 ลิตร 2.2 ไข่แดงต้มสุก นำไข่แดงที่ต้มสุกแล้วใส่กระชอนตาละเอียด ขยี้หลาย ๆ ครั้งให้ ไข่แดงเป็นฝอยเล็ก ๆ โรยลงใส่บ่อให้ลูกอ๊อดกินได้ แต่ระวังอย่าให้ไข่แดงมาก เพราะไข่แดงที่เหลือ จะทำให้น้ำเน่าเสียได้ง่าย 2.3 เนื้อปลาต้มสุก นำเนื้อปลาที่ต้มสุกแล้วใส่กระชอนตาละเอียด ขยี้หลาย ๆ ครั้ง ให้ได้เนื้อปลาเป็นฝอยเล็ก ๆ นำไปโรยลงในบ่อให้ลูกอ๊อด 2.4 ผักกาดขาว ลวกใบผักกาดขาวพอสุก วางไว้ชายบ่อให้ลูกอ๊อดกิน ใบผักกาดที่เหลือนี้ ต้องเก็บทิ้งทุกวันป้องกันน้ำเสีย 2.5 ไข่ตุ๋น : ใช้ส่วนผสมดังนี้ ไข่ (ทั้งไข่แดงและไข่ขาว) 2 ส่วน นมผงส่าหรับเด็กหรือนมสด 2 ส่วน น้ำสะอาด 1 ส่วน ผสมให้เข้ากันดีแล้วนึ่งในลังถึงให้น้ำเดือดประมาณ 15-20 นาที เมื่อสุกแล้วปล่อย ทิ้งไว้ไห้เย็นแล้วนำมาขยี้ในกระชอนผ้าตาถี่ ๆ นำส่วนที่ได้ไปให้ลูกอ็อดกินเป็นอาหาร 2.6 หนอน ตัวหนอนชนิดต่าง ๆ ที่จะใช้เป็นอาหารลูกกบนั้น จะเริ่มให้เมื่อลูกกบเคลื่อนตัว ขี้นสู่บกได้แล้ว วิธีการเพาะหนอนมีหลายวิธีคือ 2.6.1 ใช้ปลา นำปลาดิบ ๆ มาใส่ในอวนที่มีรูขนาดที่หนอนสามารถลอดได้ แล้วนำ ไปแขวนในบ่อเลี้ยง แมลงวันจะมาตอมและวางไข่ เกิดเป็นหนอนแมลงวันขึ้น ตัวหนอนจะตกลงสู่พื้นน้ำ กบก็จะกินเป็นอาหาร 2.6.2 ใช้มูลสัตว์ เช่น มูลวัว มูลควาย มูลหมู หากมีปลาเน่าก็ผสมลงไปด้วย เอาใส่ลงในกะบะไม้ที่มีขอบไม่สูงนักพอที่หนอนคลานแล้วตกลงมาได้ นำกะบะไปวางไว้เหนือบ่อ เมื่อเกิดตัวหนอนก็จะคลานขึ้นมาที่ขอบกะบะและตกลงไปในบ่อ 2.7 แมลง แมลงชนิดต่าง ๆ เป็นอาหารอย่างดีของกบ วิธีล่อแมลงให้นำหลอดไฟนีออนขนาด 40 วัตต์ แขวนไว้ห่างจากพื้นบ่อประมาณ 50-100 เชนติเมตร ในเวลากลางคืนจึงเปิดไฟล่อแมลง เมื่อแมลงมาเล่นไฟจะตกลงไปในบ่อกลายเป็นอาหารของกบ 2.8 อาหารผสมอัดเม็ด อาหารผสมแบบอัดเม็ดเป็นอาหารที่สะดวกในการใช้ การเก็บรักษา มีปริมาณและคุณค่าอาหารที่แน่นอน การเตรีอมอาหารผสมจะเตรียมจากวัตถุดิบชนิดต่าง ๆ นำมาผสม กันตามสูตร อาหารผสมนี้ลูกกบจะไม่ค่อยคุ้นเคยต้องหัดให้กิน โดยในระยะแรกอาจจะผสมปลาเป็ดให้ มากไว้ก่อนแล้วค่อยๆ ลดปลาเป็ดลงจนเหลือแต่อาหารผสมล้วน ๆ สูตรอาหารที่ใช้เลี้ยงกบที่ได้ผลดี ในขณะนี้คือ สูตรซื่งมีส่วนผสมดังนี้

ชนิดอาหาร กิโลกรัม

  1. ปลาป่นอัดน้ำมัน 56
  2. รำละเอียด 12
  3. กากถั่วเหลือง 12
  4. แป้งเหนียว 14
  5. น้ำมันปลา 4
  6. วิตามิน + แร่ธาตุ 1.6
  7. สารเหนียว 0.4
    รวม 100.00


    โรคและวิธีป้องกันรักษา

การที่กบที่เลี้ยงไว้เป็นโรคต่าง ๆ นัน สาเหตุส่วนใหญ่มาจากความสกปรกของบ่อ การจัดการและดูแลไม่ทั่วถึง ทำให้กบมีสภาพอ่อนแอ หรือในกรณีที่กบไม่มีบาดแผล อาจเกิดจากอาหารสกปรกก็ได้ เมื่อผ่าอวัยวะภายในพบว่าถุงน้ำดีมีสีเขียวเข้มถึงน้ำเงินแก่ ไตมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ลำไส้เล็กส่วนท้ายเกิดการตกเลือด ปอดมีตุ่มหนอง วิธีการบำบัด ให์ไช้ยาออกซิเตทตราไชคลีน 3 กรัมต่ออาหารกบ 1 กิโลกรัม ให้กบกินทุกมื้อประมาณ 3-7 วัน กบก็จะหายเป็นปกติ น้ำที่ใช้เลี้ยงกบควรอยู่ไนช่วงสภาพความเป็นกรดด่าง (พีเอช) ประมาณ 6.5-8.5 ในวันที่ฝนตกหนักหรืออุณหภูมิเปลี่ยนอย่างรวดเร็วร่างกายของกบจะ ปรับตัวไม่ทัน อาจตายได์ในวันรุ่งขี้นอย่างน้อย 1 ตัวเสมอ ในช่วงฝนตกจึงควรสร้างหลังคา หรือใช้ผ้าใบคลุมบ่อ หรือปรับอุณหภูมิในบ่อเลี้ยงให้คงที่

เมื่อกบเล็กอายุ 1 เดือน ควรมีการถ่ายพยาธิโดยใส่ดีเกลือ 3 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ให้เพียง 1 มื้อ ทำเดือนละครั้งจะทำให้กบเจริญเติบโตรวดเร็วต้านทานโรคได้ดีขึ้น สิ่งส่าคัญในการป้องกันไม่ให้กบเกิดโรคคือ

  1. รักษาความสะอาดของบ่อเลี้ยง
  2. อย่าเลี้ยงกบหนาแน่นเกินไป
  3. เปลี่ยนน้ำในบ่อบ่อย ๆ หรืออย่างน้อยทุกวัน
  4. อาหารที่ให้ควรมีโปรตีนสูงและเป็นอาหารที่กบชอบ
  5. มีการจัดการที่เหมาะสม

Relate topics

แสดงความคิดเห็น

« 5245
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง