หนึ่งในภาพที่พบได้บ่อยใน SME ไทยคือ ธุรกิจดูยุ่ง ยอดขายมี งานเข้าตลอด แต่เจ้าของกลับไม่มั่นใจว่าจริง ๆ แล้ว “ธุรกิจกำไรหรือไม่” เงินเข้าออกทั้งวัน แต่พอถึงสิ้นเดือนกลับไม่รู้ว่าเงินเหลือเท่าไร ปัญหานี้มักไม่ได้มาจากการทำธุรกิจผิดทาง หากแต่มาจากพฤติกรรมพื้นฐานที่หลายคนมองข้าม นั่นคือการใช้บัญชีเดียวกันระหว่างเงินธุรกิจกับเงินส่วนตัว
ปัญหาที่ตามมาจากการใช้บัญชีเดียวใน SME
มองตัวเลขผิด จนตัดสินใจพลาด
เมื่อเงินส่วนตัวและเงินธุรกิจปะปนกัน ตัวเลขที่เห็นในบัญชีจะไม่สะท้อนภาพจริงของกิจการ เจ้าของอาจคิดว่าธุรกิจยังมีเงินเหลือ ทั้งที่ความจริงเป็นเงินส่วนตัวที่เติมเข้าไป หรือในทางกลับกัน อาจเข้าใจว่าธุรกิจขาดทุน ทั้งที่เงินถูกดึงออกไปใช้ส่วนตัว ซึ่งส่งผลต่อการลงทุน การจ้างพนักงาน หรือการขยายกิจการในอนาคต
วางแผนธุรกิจไม่ได้ในระยะยาว
SME ที่ไม่แยกบัญชีจะไม่สามารถวิเคราะห์รายรับ–รายจ่ายของธุรกิจได้อย่างแท้จริง ทำให้ไม่รู้ต้นทุนที่แท้จริง กำไรต่อหน่วย หรือจุดคุ้มทุน เมื่อไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน การวางแผนในระยะยาวจึงแทบเป็นไปไม่ได้ ธุรกิจมักเดินไปแบบวันต่อวัน และสะดุดทันทีเมื่อเจอสถานการณ์ไม่คาดคิด
ภาระทุกอย่างตกอยู่ที่เจ้าของ
การไม่มีระบบการเงินที่ชัดเจนทำให้เจ้าของต้องคอยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอยู่ตลอด เพราะไม่สามารถมอบหมายหรือให้ผู้อื่นช่วยดูแลได้ ธุรกิจจึงดูยุ่งตลอดเวลา แต่ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างเป็นระบบ
ทำไมการแยกบัญชีคือรากฐานของความน่าเชื่อถือทางการเงิน
มุมมองของธนาคารและสถาบันการเงิน
ในสายตาของสถาบันการเงิน ธุรกิจที่แยกบัญชีชัดเจน แสดงถึงวินัยและความเป็นมืออาชีพ ธนาคารสามารถประเมินกระแสเงินสด ความสามารถในการชำระหนี้ และความเสี่ยงของธุรกิจได้ง่ายขึ้น SME ที่ใช้บัญชีเดียวมักถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูง เพราะข้อมูลไม่โปร่งใส และยากต่อการประเมินศักยภาพที่แท้จริง
ความโปร่งใสสร้างโอกาสทางธุรกิจ
การแยกเงินช่วยให้ธุรกิจมีประวัติทางการเงินที่ตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะเป็นการขอสินเชื่อ การหาพาร์ตเนอร์ หรือการขยายกิจการ ความโปร่งใสนี้ไม่ได้ช่วยเฉพาะกับธนาคาร แต่ยังช่วยให้เจ้าของเองเข้าใจธุรกิจได้ลึกขึ้น และวางแผนได้แม่นยำกว่าเดิม
แนวทางจัดการเงิน SME ให้เป็นระบบมากขึ้น
เปิดบัญชีธุรกิจแยกจากบัญชีส่วนตัว
ก้าวแรกที่ง่ายและสำคัญที่สุดคือการเปิดบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจโดยเฉพาะ ใช้บัญชีนี้รับรายได้และจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดของกิจการ การทำเช่นนี้ช่วยให้เห็นภาพเงินสดของธุรกิจทันที และลดความสับสนในการติดตามตัวเลข
กำหนดเงินเดือนหรือค่าตอบแทนเจ้าของให้ชัดเจน
แทนการหยิบเงินจากบัญชีธุรกิจตามต้องการ เจ้าของควรกำหนดค่าตอบแทนให้ตัวเองอย่างชัดเจน เช่น เงินเดือนหรือเงินปันผล วิธีนี้ช่วยให้ค่าใช้จ่ายของธุรกิจสะท้อนความจริง และทำให้การวิเคราะห์ผลประกอบการแม่นยำขึ้น
บันทึกรายรับ–รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ
ไม่ว่าจะใช้ระบบบัญชีอย่างเป็นทางการหรือเครื่องมือพื้นฐาน การบันทึกรายรับ–รายจ่ายอย่างต่อเนื่องคือหัวใจของการจัดการเงิน ข้อมูลเหล่านี้จะกลายเป็นฐานสำคัญในการตัดสินใจ วางแผน และประเมินความพร้อมของธุรกิจในอนาคต
สร้างวินัยทางการเงินให้เป็นนิสัย
การแยกบัญชีจะได้ผลก็ต่อเมื่อมาพร้อมวินัย เช่น ไม่ใช้เงินธุรกิจในเรื่องส่วนตัว และไม่ใช้เงินส่วนตัวอุดธุรกิจโดยไม่บันทึก วินัยเหล่านี้อาจดูเล็กน้อยในช่วงแรก แต่ส่งผลอย่างมากต่อความมั่นคงของ SME ในระยะยาว
บทสรุป
การแยกเงินธุรกิจกับเงินส่วนตัวไม่ใช่เรื่องเทคนิคทางการเงินที่ซับซ้อน แต่คือจุดเริ่มต้นของความเป็นมืออาชีพและความน่าเชื่อถือของ SME ธุรกิจจำนวนมากไม่สามารถเติบโตได้เต็มศักยภาพ เพราะมองข้ามพื้นฐานสำคัญข้อนี้
เมื่อเจ้าของเริ่มแยกบัญชีอย่างชัดเจน ใช้ข้อมูลทางการเงินเป็นฐาน และเรียนรู้จากแหล่งความรู้ที่เข้าใจ SME ธุรกิจจะเริ่มมองเห็นภาพจริงของตัวเอง ช่วยให้การตัดสินใจแม่นยำขึ้น และพร้อมก้าวสู่การเติบโตอย่างจริงจังในระยะยาว
