ตู้เย็นมีกี่แบบ เลือกซื้ออย่างไรถึงจะคุ้มค่า เหมาะกับความต้องการ
ตู้เย็น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่สำคัญช่วยเพิ่มความสะดวกในชีวิตประจำวันของเราอย่างมาก ตู้เย็นเปรียบเสมือนผู้ช่วยคนสำคัญที่คอยเก็บรักษาอาหารให้สดใหม่ ยืดอายุอาหารให้อยู่ได้นานขึ้น และช่วยให้เราสามารถมีอาหารหลากหลายไว้รับประทานได้ตลอดเวลา อีกทั้ง ตู้เย็นยังช่วยลดการสูญเสียอาหารและประหยัดค่าใช้จ่ายในแต่ละวันไปได้มากเลยทีเดียว
ตู้เย็นคืออะไร และมีกี่ประเภท?
ตู้เย็น (Refrigerator) หรือตู้แช่เย็น คือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อรักษาอุณหภูมิภายในให้ต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง ทำให้ทั้งอาหารและเครื่องดื่มคงความสดใหม่ได้นานขึ้น ช่วยเก็บรักษาอาหารให้สดและใหม่อยู่เสมอ โดยหลักการทำงานทำความเย็น คือคอมเพรสเซอร์จะอัดน้ำยาทำความเย็นให้เป็นไอ แล้วปล่อยความร้อนออกไปภายนอก จากนั้นน้ำยาจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวและดูดความร้อนจากภายในตู้เย็น ทำให้อุณหภูมิภายในลดลง โดยแบ่งประเภทของตู้เย็นได้ดังนี้
- ตู้เย็นเล็ก หรือหลายคนรู้กันดีในชื่อตู้เย็นมินิบาร์ที่มีขนาดเล็กมาก เหมาะสำหรับห้องพักหรือบาร์
- ตู้เย็น 1 ประตู ขนาดมาตรฐาน มักมีช่องแช่แข็งอยู่ด้านล่าง เหมาะสำหรับครัวเรือนทั่วไป
- ตู้เย็น 2 ประตู มีขนาดใหญ่กว่า แบ่งช่องแช่เย็นและช่องแช่แข็งออกจากกันอย่างชัดเจน เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดกลาง
- ตู้เย็น Multidoor มีหลายประตู ขนาดใหญ่ที่สุด เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่หรือร้านอาหาร มีฟังก์ชันหลากหลาย
- ตู้เย็น Side by Side เป็นตู้เย็นขนาดใหญ่ที่มีประตูสองบานเปิดออกด้านข้าง เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่หรือร้านอาหาร มีฟังก์ชันการใช้งานที่ทันสมัย
วิธีการเลือกตู้เย็นอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด!
การเลือกซื้อตู้เย็นสักเครื่อง อาจดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่หากต้องการให้คุ้มค่าและใช้งานได้ยาวนาน การเลือกให้ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ มาดูกันว่าเทคนิคเลือกตู้เย็นต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง
1. ขนาดและความจุ การเลือกซื้อตู้เย็นสักเครื่อง นอกจากเรื่องดีไซน์และฟังก์ชันแล้ว ตู้เย็นขนาดต่าง ๆ ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา เพราะตู้เย็นที่มีขนาดพอดีจะช่วยให้คุณจัดเก็บอาหารได้อย่างเป็นระเบียบ และประหยัดพื้นที่ในครัวไปด้วย
- จำนวนสมาชิกในบ้าน 1-2 คน ขนาดตู้เย็น 7-13 คิว (200-380 ลิตร)
- จำนวนสมาชิกในบ้าน 3-4 คน ขนาดตู้เย็น 12-18 คิว (350-530 ลิตร)
- จำนวนสมาชิกในบ้าน 5 คนขึ้นไป ขนาดตู้เย็น 15 คิวขึ้นไป (440 ลิตรขึ้นไป)
2. การประหยัดพลังงาน เทคโนโลยีตู้เย็นประหยัดไฟเป็นสิ่งที่ใคร ๆ หลายคนคำนึงถึงเป็นหลักเวลาซื้อตู้เย็น ซึ่งหลายแบรนด์ก็ได้พัฒนาตู้เย็นรุ่นใหม่ที่มีเทคโนโลยีในเรื่องการประหยัดไฟ ไม่ว่าจะเทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์ที่จะปรับกำลังการทำงานของคอมเพรสเซอร์ตามความต้องการ ทำให้ประหยัดไฟมากกว่าตู้เย็นทั่วไป หรือระบบควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะจะช่วยควบคุมอุณหภูมิภายในตู้เย็นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมตลอดเวลา ลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น และที่สำคัญที่สุดควรเลือกตู้เย็นที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 จะช่วยประหยัดไฟได้มากที่สุด
3. ตู้เย็นที่ทำงานเงียบ เสียงรบกวนจากตู้เย็นสามารถรบกวนการพักผ่อนและการทำงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากห้องครัวอยู่ใกล้ห้องนอน ดังนั้นถ้าบ้านหรือที่พักของคุณไม่อยากให้มีเสียงการทำงานของตู้เย็นมารบกวน แนะนำให้เลือกตู้เย็นที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยในเรื่องของความเงียบของการทำงาน และใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูง เพื่อช่วยให้ทำงานด้วยเสียงเบาแถมช่วยลดการสั่นสะเทือนจากเสียง ทำให้ชิ้นส่วนภายในสึกหรอน้อยลง
4. กระจายความเย็นอย่างทั่วถึง
เลือกตู้เย็นที่คุ้มค่าต้องให้ความสำคัญในเรื่องระบบทำความเย็นที่ออกแบบมาให้ความเย็นกระจายไปทั่วทุกมุมของตู้เย็น ทำให้อาหารทุกชิ้นได้รับอุณหภูมิที่สม่ำเสมอ ช่วยให้อาหารสดใหม่ได้นานขึ้น ยิ่งถ้าคุณต้องการแช่ของในปริมาณที่เยอะอยู่เป็นประจำแล้ว ระบบกระจายความเย็นอย่างทั่วถึงนี้ทำให้คุณหมดกังวลในเรื่องอาหาร เครื่องดื่มเสียจากการไม่ได้รับความเย็นที่เพียงพอไปได้
5. ฟังก์ชันการทำงานพิเศษ และสุดท้าย การเลือกตู้เย็นที่จะช่วยให้เกิดความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป คือฟังชันการทำงานเพิ่มเติมที่ตู้เย็นรุ่นใหม่ ล่าสุดเริ่มนำเอาเทคโนโลยีพิเศษมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่อง เช่น เทคโนโลยี NutriFreeze ช่วยแช่แข็งเนื้อสัตว์และปลาที่อุณหภูมิ –3 องศา จึงคงความสดได้ยาวนานขึ้น และรักษาคุณค่าทางโภชนาการ มีฟิลเตอร์ที่ช่วยขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้เป็นอย่างดี หรือการปรับเปลี่ยนอุณหภูมิจากช่องแช่เย็นเป็นช่องแข็งอย่างง่ายดาย
ตู้เย็นกับเรื่องที่ไม่ควรทำ
การใช้งานตู้เย็นอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ตู้เย็นของคุณทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และช่วยให้อาหารของคุณสดใหม่ได้นานขึ้น แต่ถ้าหากใช้งานไม่ถูกวิธี อาจทำให้ตู้เย็นเสียหายได้เร็วขึ้น และยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคอีกด้วย
- ตั้งตู้เย็นชิดผนัง ไม่ควรตั้งตู้เย็นชิดผนังเกินไป จะทำให้คอมเพรสเซอร์ที่อยู่ด้านหลังตู้เย็นระบายความร้อนได้ไม่ดี อาจทำให้ตู้เย็นร้อนเกินไป ควรมีระยะห่างระหว่างตู้เย็นและผนังคือ 10-15 เซนติเมตรขึ้นไป
- แช่อาหารร้อนจัด การนำอาหารร้อนจัด ๆ เข้าไปแช่ในตู้เย็นทันที จะทำให้อุณหภูมิภายในตู้เย็นสูงขึ้น ทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักขึ้น และเมื่อทำเช่นนี้บ่อยครั้งอาจทำให้มอเตอร์เสียหายได้
- เปิดประตูตู้เย็นทิ้งไว้นาน การเปิดประตูตู้เย็นบ่อยครั้งหรือทิ้งไว้นาน ๆ จะทำให้อุณหภูมิภายในตู้เย็นสูงขึ้น ทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนัก และเปลืองพลังงานอีกด้วย
- แช่อาหารแน่นเกินไป การแช่อาหารในจำนวนที่เกินขนาดของเครื่อง หรือแน่นเกินไปจะทำให้ความเย็นกระจายตัวได้ไม่ทั่วถึง และอาจทำให้อาหารเสียเร็ว
- ไม่ทำความสะอาดตู้เย็น ถ้าไม่ทำความสะอาดตู้เย็นเป็นประจำ จะทำให้เกิดคราบสกปรกและเชื้อโรคสะสมได้ ซึ่งอาจทำให้อาหารเสีย และเป็นสาเหตุที่ทำให้ตู้เย็นมีกลิ่นเหม็น
เลือกซื้อตู้เย็นให้พอดีกับไลฟ์สไตล์ของคุณ
การเลือกซื้อตู้เย็นสักเครื่องนั้นขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และความต้องการของแต่ละบุคคล หากคุณต้องการตู้เย็นขนาดเล็กและราคาประหยัด ตู้เย็น 1 ประตูก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าต้องการตู้เย็นที่แช่ของปริมาณมาก มีฟังก์ชันหลากหลายและจุของได้มาก ตู้เย็น Multidoor หรือ Side by Side ก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม นอกจากนี้หากซื้อตู้เย็นมาแล้วอย่าลืมที่จะดูแลรักษาให้ดี และอย่าทำในสิ่งที่ไม่ควรทำตามที่เราได้แนะนำกันไปด้านบน เพื่อยืดอายุการใช้งานของตู้เย็นและเพื่อให้ตู้เย็นได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ