สะตอฟอร์ยู ::: สนับสนุนให้คนใต้ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น!!!

หาดใหญ่พ้นภัยด้วยน้ำพระทัยจากในหลวง โครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ตามแนวพระราชดำริ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

ที่หาดใหญ่ ที่น้ำท่วมอย่างมากมายเช่นนี้ ท่านผู้ที่อยู่ในท้องที่ก็ได้เห็นด้วยตาของตนเอง แต่ว่าไม่ทันรู้ว่ามันมาอย่างไร ถ้าถามผู้อยู่ที่หาดใหญ่เองทั้งประชาชน ทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและพลเรือน ว่าน้ำนั่นมาอย่างไร สักแปดสิบเปอร์เซ็นต์จะไม่ทราบ



 คำอธิบายภาพ : pic5803a56206b52pic5


หาดใหญ่พ้นภัยด้วยน้ำพระทัยจากในหลวง


เมื่อโครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ตามแนวพระราชดำริ ดำเนินการแล้วเสร็จ ปัญหาอุทกภัยของอำเภอหาดใหญ่ก็บรรเทาเบาบางลงไปเป็นอย่างมาก แม้แต่ในปีที่มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง และมีการประกาศเตือนให้เฝ้าระวังอุทกภัย แต่ชาวอำเภอหาดใหญ่ก็รอดพ้นจากภัยน้ำท่วมมาได้ทุกครั้ง อาจมีบ้างที่น้ำเพิ่มระดับสูงขึ้นในตัวเมือง แต่น้ำก็จะไหลลงสู่คลองระบายน้ำ และไหลออกสู่ทะเลสาบสงขลาภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง จึงนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวอำเภอหาดใหญ่ และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงอย่างอเนกอนันต์


พระราชดำรัส



“...ที่หาดใหญ่ ที่น้ำท่วมอย่างมากมายเช่นนี้ ท่านผู้ที่อยู่ในท้องที่ก็ได้เห็นด้วยตาของตนเอง แต่ว่าไม่ทันรู้ว่ามันมาอย่างไร ถ้าถามผู้อยู่ที่หาดใหญ่เองทั้งประชาชน ทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและพลเรือน ว่าน้ำนั่นมาอย่างไร สักแปดสิบเปอร์เซ็นต์จะไม่ทราบ แม้แต่ผู้ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในทางอุทกศาสตร์ หรือในทางชลประทานก็ไม่ทราบ ความจริง ก่อนที่เกิดเรื่องอย่างนี้ได้เคยไปที่หาดใหญ่แล้ว และเคยไปชี้ว่าควรที่จะทำอะไร แต่ไม่ได้ทำ หรือทำแล้ว ก็ได้สร้างอะไรอื่น ๆ ขึ้นมาขวางกิจการที่จะป้องกัน หรือทำให้ไม่เกิดอุทกภัยเช่นนี้ ถ้าไปดูท่านผู้ที่อยู่แถวนั้น และจะกลับบ้าน หรือกลับไปในที่ที่ไปปฏิบัติได้ ให้ไปดูทางด้านตะวันตกของเมือง มีถนน แต่ว่าถนนนั้นพยายามทำขึ้นมาแล้วเป็นคล้าย ๆ ผนังกั้นน้ำมิให้น้ำเข้าไปในเมือง ก็ไม่ได้ทำหรือทำแล้วก็ไม่ได้รักษา ทางทิศเหนือ หรือทางตะวันตกเฉียงเหนือ มีถนนที่กำลังสร้าง หรือสร้างใหม่ ๆ กั้นน้ำเป็นเหมือนเขื่อน มิให้น้ำออกจากตัวเมืองได้ จึงทำให้น้ำท่วมในตัวเมืองถึง ๒ เมตร ๓ เมตร ทีแรกได้ยินข่าวว่าน้ำท่วม ๒ เมตร ๓ เมตร ไม่เชื่อ ฟังวิทยุ ดูในหนังสือพิมพ์ว่า ทำไมน้ำจะท่วมได้ ๒ เมตร ๓ เมตร ก็เป็นความจริงว่าท่วม ท่วมรถยนต์ไม่เห็นเลย ท่วมไปหมด คนที่อยู่บ้านชั้นเดียว ก็ต้องปีนขึ้นไปบนหลังคา อันนี้เป็นความจริง แต่ว่าถ้าหากทำอย่างที่ว่า ซึ่งบอกให้ทำมาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว ทำพนัง หรือคัน และไม่ทำถนนที่กั้นน้ำเป็นเขื่อน ก็จะทำให้ตัวเมืองหาดใหญ่ไม่เป็นอ่างเก็บน้ำ ที่แปลก โดยมากก็ชอบทำเป็นอ่างเก็บน้ำ เพื่อจะเก็บน้ำเอาไว้ใช้ แต่นี่มาทำอ่างเก็บน้ำเอาไว้จม...”


พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานในโอกาสที่คณะกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เข้าเฝ้า ฯ ณ ศาลาดุสิดาลัย วันจันทร์ ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๓


 คำอธิบายภาพ : 3_71

 คำอธิบายภาพ : pic5802808b1116bpic5


โครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ตามแนวพระราชดำริ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ได้พระราชทานพระราชดำริให้กรมชลประทานร่วมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการแก้ไขและบรรเทาปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ชุมชน และพื้นที่ธุรกิจในเขตอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา  เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้ เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2531 ได้เกิดอุทกภัยอย่างรุนแรง สร้างความเสียเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีสาเหตุสำคัญเนื่องมาจากปริมาณน้ำคลองอู่ตะเภาที่ไหลผ่านอำเภอหาดใหญ่ มีระดับสูงล้นตลิ่ง แล้วไหลบ่าเข้าท่วมบริเวณกลางเมืองหาดใหญ่ และพื้นที่ทั่วไปเป็นบริเวณกว้าง  น้ำที่ไหลบ่าเข้ามานั้นได้ท่วมพื้นที่ต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว และท่วมขังมีความลึกมากทำให้สภาพเศรษฐกิจ โดยส่วนรวมของอำเภอหาดใหญ่และทรัพย์สินของราษฎรได้รับความเสียหายอย่างไม่เคยปรากฏ เช่นนี้มาก่อน การแก้ไขและบรรเทาอุทกภัยด้วยวิธีการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ที่คลองอู่ตะเภาและลำน้ำสาขา เพื่อสกัดน้ำจำนวนมากไม่ให้ไหลลงมายังเมืองหาดใหญ่นั้น  คงไม่สามารถดำเนินการได้  เพราะไม่มีทำเลที่เหมาะสมในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำที่มีขนาดใหญ่ดังกล่าวได้ ดังนั้นการแก้ไขและบรรเทาน้ำท่วมที่ควรพิจารณาดำเนินการ  น่าจะได้แก่การขุดลอกคลองระบายน้ำที่มีอยู่  พร้อมกับขุดลอกคลองระบายน้ำขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นอีกให้สามารถระบายน้ำและแบ่งน้ำจากคลองอู่ตะเภาที่ไหลลงมาท่วมตัวอำเภอหาดใหญ่ ให้ระบายลงสู่ทะเลสาบสงขลาโดยเร็วทั้งนี้ให้พิจารณาร่วมกับระบบผังเมืองให้มีความสอดคล้อง และได้รับประโยชน์ร่วมกันด้วย


 คำอธิบายภาพ : pic5803b08859724pic5


ย้อนรอย น้ำท่วมหาดใหญ่ ปี 2543 และ ปี 2548



อุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในปี 2543 ฝนที่ตกต่อเนื่องเป็นเวลา 3 วัน เป็นปริมาณรวม 468 มม. คิดเป็นฝนในรอบ 280 ปี ซึ่งกรมทางหลวงระบุว่าระดับน้ำท่วมในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ที่ถนนนิพัทธ์อุทิศ 3  มีความลึก 2.2 เมตร ประมาณว่าเป็นน้ำท่วมในรอบ 70 ปี ถ้าพิจารณาความรุนแรงตามแนวคิด Argue แล้วจะถือได้ว่าเป็นมหันตภัย (Extreme Floods)


 คำอธิบายภาพ : hatyai


เหตุการณ์น้ำท่วมอำเภอหาดใหญ่ พ.ศ. 2543 เป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 21-23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 น้ำฝนที่ตกในเขตเทือกเขาสันกาลาคีรี บริเวณพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซีย  ซึ่งปกติจะระบายผ่านคลองอู่ตะเภา ผ่านเขตอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ไหลออกสู่อ่าวไทยบริเวณทะเลสาบสงขลา แต่ในปี พ.ศ. 2543 การระบายน้ำทำได้ไม่ดีเนื่องจากคูคลองตื้นเขิน และมีแนวคันกีดขวางทางเดินของน้ำ คือ ถนนลพบุรีราเมศวร์ ที่สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2533 ถนนสายสนามบิน-ควนลัง และทางรถไฟ ประกอบกับพื้นที่ของตัวอำเภอหาดใหญ่มีลักษณะเป็นที่ลุ่มรูปแอ่งกระทะ ทำให้เกิดน้ำท่วมสูงในบริเวณตัวเมืองชั้นใน มีความเสียหายเป็นมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท จำนวนผู้เสียชีวิตตามประกาศจากทางราชการ 35 คน โดยจำนวนผู้เสียชีวิตจริง ข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการ สูงถึง 233 คน ไม่รวมชาวต่างประเทศ


 คำอธิบายภาพ : pic5803b08880905pic5

 คำอธิบายภาพ : 1288750133


 คำอธิบายภาพ : pic5803b088a6f0bpic5


 คำอธิบายภาพ : pic5803b088ee84bpic5


 คำอธิบายภาพ : pic5803b088c9839pic5


ภายหลังเหตุการณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้กรมชลประทานจัดทำโครงการบรรเทาอุทกภัย อำเภอหาดใหญ่ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อีกทั้งภาครัฐยังได้จัดทำงบประมาณเพื่อป้องกันเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต  แต่ต่อมาได้มีการปล่อยปละละเลย ไม่ได้ติดตามความคืบหน้า จึงได้เกิดอุทกภัยซ้ำอีกครั้งใน 16 อำเภอของจังหวัดสงขลา และเขตรอบนอกของตัวเมืองหาดใหญ่ ระหว่างวันที่ 13-20 ธันวาคม พ.ศ. 2548  ซึ่งผลไม่รุนแรงเท่าในปี พ.ศ. 2543 แต่มีผู้ประสบความเดือดร้อนเป็นจำนวนมากกว่า


อุทกภัยก่อผลร้ายต่อเศรษฐกิจเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคใต้ อย่างใหญ่หลวง



อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ได้ชื่อว่าเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคใต้ และเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา มีลักษณะภูมิประเทศเป็นแอ่งกระทะ พื้นที่ลาดเทจากทิศใต้สู่ทิศเหนือ บริเวณตอนปลายของลุ่มน้ำจะเป็นที่ราบลุ่มแผ่กว้างก่อนถึงทะเลสาบสงขลา มีคลองอู่ตะเภาเป็นคลองระบายน้ำหลัก และประกอบด้วยลุ่มน้ำย่อยรวม 17 ลุ่มน้ำ


 คำอธิบายภาพ : pic5803b088eef39pic5
คลองอู่ตะเภานี้ไหลจากทิศใต้ไปสู่ทิศเหนือ โดยมีจุดเริ่มจากชายแดนไทย-มาเลเซีย ไปสิ้นสุดที่ทะเลสาบสงขลาตอนล่าง บริเวณบ้านท่าเมรุ อำเภอบางกล่ำ และบ้านแหลมโพธิ์ อำเภอหาดใหญ่ รวมความยาวทั้งสิ้น(เฉพาะส่วนที่เรียกว่าคลองอู่ตะเภา) ประมาณ 130 กิโลเมตร (กรมพัฒนาที่ดิน, 2532 ระบุว่ายาวประมาณ 90 กม.)


 คำอธิบายภาพ : pic5803b088ef5d2pic5 พื้นที่ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภาใน อ.หาดใหญ่ / ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา ถือได้ว่าเป็นลุ่มน้ำย่อยที่ 7 ในลุ่มน้ำที่ 21(ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา) ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดา 5 ลุ่มน้ำของจังหวัดสงขลา


คลองอู่ตะเภาเป็นคลองธรรมชาติที่สามารถรับน้ำได้เพียง 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเท่านั้น เมื่อเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ลุ่มน้ำเกิน 120 มิลลิเมตร เป็นเวลา 3 ชั่วโมง น้ำจะเคลื่อนตัวจากพื้นที่ลุ่มน้ำตอนบนเข้าสู่เทศบาลนครหาดใหญ่ภายใน 10 - 30 ชั่วโมง และทำให้เกิดสภาพน้ำล้นตลิ่งคลองอู่ตะเภาบริเวณเทศบาลนครหาดใหญ่ เช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2531 ซึ่งอุทกภัยในลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา สร้างความเสียหายแก่พื้นที่ประมาณ 250 ตารางกิโลเมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 10 ของพื้นที่ ประเมินมูลค่าความเสียหายกว่า 4 พันล้านบาท และต่อมาในปี 2553 พื้นที่น้ำท่วมขยายเป็นกว่า 320 ตารางกิโลเมตร มูลค่าความเสียหายเพิ่มสูงขึ้นเป็น 18,000 ล้านบาท และมีประชาชนเสียชีวิตถึง 30 คน แม้พื้นที่ส่วนใหญ่ราวร้อยละ 80 ที่ถูกน้ำท่วมจะเป็นพื้นที่เกษตรกรรม แต่การเกิดอุทกภัยในพื้นที่ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการค้าอย่างเทศบาลนครหาดใหญ่ ย่อมส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและสังคมของภาคใต้ตอนล่าง


น้ำท่วมเมืองหาดใหญ่อีกครั้งในปี 2553



อุทกภัยที่เกิดขึ้นกับ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ระหว่างวันที่ 1-3 พฤศจิกายน แม้จะไม่ใช่ภัยธรรมชาติครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับหาดใหญ่ แต่ด้วยความเสียหายที่เกิดขึ้น นี่คือบาดแผลด้านหนึ่งที่เกิดขึ้นกับศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคใต้


นายไพร พัฒโน ได้ให้สัมภาษณ์ไว้กับ "คม ชัด ลึก" ในเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ในปี 2553 เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า ...

"...เหตุการณ์ครั้งนี้เกินกว่าที่เราจะแบกรับได้ คลอง ร.ต่างๆ ทั้ง ร.9, ร.1 ล้วนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก และเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ “ในหลวง” ทรงมีต่อชาวหาดใหญ่ เนื่องจากคลองเหล่านี้ มีผลโดยตรงต่อการบรรเทาสถานการณ์ เพราะหากวันนี้ไม่มีคลอง ร. ช่วยไว้ หาดใหญ่จะสูญเสียมากกว่านี้หลายเท่าตัว เนื่องจากนับวันการชะลอน้ำโดยธรรมชาตินั้นเป็นเรื่องยาก ในอนาคตสิ่งที่จำเป็นที่สุดคือ การสร้างและเพิ่มแก้มลิงในพื้นที่รับน้ำ รวมถึงต้องขุดคลองผันน้ำเพื่อระบายน้ำออกจากคลองอู่ตะเภาก่อนน้ำจะไหลสู่เมืองหาดใหญ่ ซึ่งหมายถึงต้องใช้ความร่วมจากทุกภาคส่วนร่วมด้วย เพราะเม็ดเงินนั้นมหาศาล ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าเกินอำนาจของท้องถิ่นที่จะเข้าไปดูแล แต่ยืนยันว่าเราจะผลักดันในทุกๆทาง..."


จัดระบบน้ำบรรเทาอุทกภัย


หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่อำเภอหาดใหญ่ในปี ๒๕๔๓ หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องได้น้อมนำแนวพระราชดำริในการบรรเทาอุทกภัยไปทบทวน และจัดทำแนวทางการแก้ไขและบรรเทาอุทกภัย อย่างไรก็ตาม วิธีการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่คลองอู่ตะเภาและลำน้ำสาขา เพื่อสกัดน้ำจำนวนมากไม่ให้ไหลลงมายังเมืองหาดใหญ่นั้น คงไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากทำเลที่ตั้งไม่มีความเหมาะสมที่จะสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ดังนั้น การแก้ไขและบรรเทาน้ำท่วมที่ควรพิจารณาดำเนินการน่าจะได้แก่การขุดลอกคลองระบายน้ำที่มีอยู่ พร้อมกับขุดลอกคลองระบายน้ำขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นอีกให้สามารถระบายน้ำ และแบ่งน้ำจากคลองอู่ตะเภาที่ไหลลงมาท่วมตัวอำเภอหาดใหญ่ ให้ระบายลงสู่ทะเลสาบสงขลาโดยเร็ว ทั้งนี้ ได้มีการพิจารณาร่วมกับระบบผังเมืองให้มีความสอดคล้อง และได้รับประโยชน์ร่วมกันด้วย


6.5 พันล้าน  ขยายคลอง ร.1 เพิ่มการระบายน้ำ ปกป้องพื้นที่ไข่แดง



คลองสายสำคัญที่สุดนั่นคือคลองระบายน้ำที่ 1 หรือคลอง ร.1 เริ่มต้นจากบ้านหน้าควนลัง แบ่งเบาน้ำจากคลองอู่ตะเภาก่อนไหลเข้าตัวเมืองหาดใหญ่ และไปสิ้นสุดที่ทะเลสาบสงขลา ช่วงรอยต่อ ต.บางเหรียง อ.ควนเนียง และ ต.บางกล่ำ อ.บางกล่ำ รวมระยะทางประมาณ 21 กิโลเมตร สามารถระบายน้ำได้สูงสุด 465 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที อย่างไรก็ตามเมื่อโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จในปี 2550 หาดใหญ่ก็ยังเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมอีกในปี 2553 จึงเป็นที่มาของโครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ (ระยะที่ 2)  โดยพอจะลำดับความเป็นมาของโครงการดังนี้


ระหว่างวันที่ 20-23 พฤศจิกายน  พ.ศ. 2531 เกิดฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันในลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา ทำให้เกิดอุทกภัยในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือนตลอดจนชีวิตและทรัพย์สินของราษฎร พื้นที่ในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่และพื้นที่เศรษฐกิจใกล้เคียง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 4,000 ล้านบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสกับนายจริย์ ตุลยานนท์ อธิบดีกรมชลประทาน นายสุเมธ ตันติเวชกุล ผู้อำนวยการสำนักงาน กปร. และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2531 ณ อาคารชัยพัฒนา สวนจิตรลดา ให้พิจารณาดำเนินการแก้ไขและบรรเทาอุทกภัย อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา


พระองค์ท่านทรงดำรัสไว้ว่า

“...การแก้ไขและบรรเทาอุทกภัยด้วยวิธีการสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่คลองอู่ตะเภาหรือตามลำน้ำสาขาเพื่อสกัดกั้นน้ำจำนวนมากไม่ให้ไหลมายังเมืองหาดใหญ่นั้นคงไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะไม่มีทำเลที่เหมาะสมในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำที่มีขนาดใหญ่ดังกล่าวได้เลย ดังนั้นการแก้ไขและบรรเทาน้ำท่วมที่ควรพิจารณาดำเนินการ น่าจะได้แก่การขุดคลองระบายน้ำขนาดใหญ่ ให้ทำหน้าที่แบ่งน้ำจากคลองอู่ตะเภาหรือช่วยรับน้ำที่ไหลลงมาท่วมตัวอำเภอหาดใหญ่ ให้ระบายลงสู่ทะเลสาบสงขลาโดยเร็ว นอกจากนั้นหากต้องการที่จะป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนและพื้นที่ธุรกิจให้ได้ผลโดยสมบูรณ์แล้ว หลังจากที่ก่อสร้างคลองระบายน้ำเสร็จ ก็ควรพิจารณาสร้างคันกั้นน้ำรอบบริเวณพื้นที่ดังกล่าวพร้อมกับติดตั้งระบบสูบน้ำออกจากพื้นที่ไม่ให้ท่วมขังตามความจำเป็น  ทั้งนี้ให้พิจารณาร่วมกับระบบของผังเมืองให้มีความสอดคล้องและได้รับประโยชน์ร่วมกันด้วย...”


โดยในปี พ.ศ.2532 กรมชลประทานได้ดำเนินการขุดลอกคลองธรรมชาติ จำนวน 4 สาย รวม 46.900 กม. ได้แก่คลองอู่ตะเภา คลองอู่ตะเภาแยก 1 คลองอู่ตะเภาแยก 2 และคลองท่าช้าง-บางกล่ำ


ในเดือนพฤศจิกายน 2543 เกิดฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน คลองระบายน้ำธรรมชาติที่กรมชลประทานได้ดำเนินการขุดลอกไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 ไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำได้ ทำให้เกิดอุทกภัยน้ำท่วมขังบริเวณเทศบาลนครหาดใหญ่ระหว่างวันที่ 21-23 พฤศจิกายน พ.ศ.2543 คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 14,000 ล้านบาท


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสต่อคณะบุคคลที่เข้าเฝ้า เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2543  เกี่ยวกับอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ณ พระราชวังสวนจิตลดา สรุปความว่า

“...เมื่อวันที่ 22-23 พฤศจิกายน 2543 มีน้ำท่วมภาคใต้ โดยเฉพาะที่อำเภอหาดใหญ่ มีความเสียหายหลายพันล้านบาท ซึ่งถ้าได้ทำตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่ปี 2531 ที่ลงทุนนั้นจะได้รับคืนมาหลายเท่าตัว...”


คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2543 ให้กรมชลประทานดำเนินการโครงการพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่ภาคใต้ที่ประสบอุทกภัยในส่วนของโครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ โดยกรมชลประทานได้ดำเนินการขุดคลองระบายน้ำเพิ่ม จำนวน 7 สาย ระยะเวลาดำเนินงาน 7 ปี (2544-2550) โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 4,700 ล้านบาท สามารถระบายน้ำได้รวม 1,075 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที


 คำอธิบายภาพ : pic5803b08859e39pic5


 คำอธิบายภาพ : pic5802809153f8apic5 คลองสายสำคัญที่สุดนั่นคือคลองระบายน้ำที่ 1 หรือคลอง ร.1 เริ่มต้นจากบ้านหน้าควนลัง แบ่งเบาน้ำจากคลองอู่ตะเภาก่อนไหลเข้าตัวเมืองหาดใหญ่


ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 มีฝนตกหนักติดต่อกัน 3 วัน เกิดน้ำท่วมตัวเมืองหาดใหญ่มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 1,623.50 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเกินศักยภาพของคลองระบายน้ำที่มีอยู่ทำให้ปริมาณน้ำไหลล้นจากคลองอู่ตะเภา และคลองระบายน้ำ ร.1 เข้าท่วมพื้นที่ของเขตเทศบาลนครหาดใหญ่และบริเวณใกล้เคียง ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 2 วัน จึงสามารถระบายน้ำเข้าสู่ภาวะปกติ สร้างความเสียหายประมาณ 10,490 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหา กรมชลประทานจึงได้พิจารณาปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำคลองระบายน้ำ ร.1 และอาคารประกอบ ให้สามารถรองรับปริมาณน้ำดังกล่าวได้


โครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ (ระยะที่ 2) บรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่และพื้นที่ใกล้เคียง



 คำอธิบายภาพ : pic580285be2bf8apic5 ก่อสร้างประตูระบายน้ำบางหยี 2 ให้สามารถระบายน้ำตามการปรับปรุงคลองระบายน้ำสายที่ 1 (คลอง ร.1)


 คำอธิบายภาพ : pic5803bf2b88f6apic5


เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2555 กรมชลประทานได้อนุมัติในหลักการดำเนินการโครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ (ระยะที่ 2) จ.สงขลา โดยสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่ที่ 11 สำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้งบประมาณดำเนินโครงการ 6,500 ล้านบาท เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558-2562 โดยหลักใหญ่ใจความสำคัญของโครงการอยู่ที่การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของคลองระบายน้ำ ร.1 จากเดิม 465 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ให้ระบายน้ำได้ไม่น้อยกว่า 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และลดระดับความเสียหายจากอุทกภัยช่วงฤดูฝนในพื้นที่เศรษฐกิจของอำเภอหาดใหญ่และพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงเป็นแหล่งเก็บกักน้ำสำรองในช่วงฤดูแล้ง ประมาณ 5.0 ล้านลูกบาศก์เมตร











เพิ่มเติม ...

โครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ตามแนวพระราชดำริ (ขุดลอกคลองอู่ตะเภาแยก 1) โครงการ บรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ตามแนวพระราชดำริ (ขุดลอกคลองอู่ตะเภาแยก 2) โครงการบรรเทาอุทกภัยอำเภอหาดใหญ่ (ระยะที่ 2) จังหวัดสงขลา ไพร พัฒโน : เหตุการณ์ครั้งนี้เกินกว่าที่เราจะแบกรับได้ (คม ชัด ลึก) รับมือน้ำท่วม กรณีศึกษาจากหาดใหญ่ โดย ปิยาณี รุ่งรัตน์ธวัชชัย (นสพ. ผู้จัดการ 360 องศา)


อ้างอิงข้อมูลจาก @ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.), สำนักงานก่อสร้าง 11 สำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ กรมชลประทาน , วีดีโอ @ จดหมายเหตุกรุงศรี (Jod Mai Hed Krungsri)

Relate topics

แสดงความคิดเห็น

« 5386
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง